FORGOT YOUR DETAILS?

"หลวงพ่อชาญณรงค์ อภิชิโต ภิกขุ" หรือ "พระอาจารย์อภิชิโต ภิกขุ" (ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ) ผู้เป็นทั้งศิษย์น้องและศิษย์ของ "พระครูเทพโลกอุดร" ผู้มีพลังจิตแก่กล้า สร้างความอัศจรรย์เสกใบไม้ให้กลายเป็นนกต่อหน้านักข่าวหนังสือพิมพ์ จนเป็นข่าวดังครึกโครมมาก ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาพิสูจน์ มาขอให้ท่านแสดงฤทธิ์จนแทบไม่ได้พักผ่อน ภายหลังท่านจึงออกธุดงค์เข้าป่าเพื่อหลีกหนีผู้คน แต่นั้นมาท่านจึงเก็บตัวเงียบไม่ออกสู่สังคมอีก ท่านเป็นผู้สำเร็จคุณวิเศษทางจิตจริง เรื่องราวของท่านล้วนอภินิหารดุจดังนิยาย ทั้งการได้พบพระอาจารย์ลึกลับนามว่า "หลวงตาดำ" ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ภายหลังท่านยังได้พบ "พระครูเทพโลกอุดร" ภายในสถานที่ฝึกวิชาอันลี้ลับที่เรียกว่า "ในดง" ทำให้ท่านมีความเก่งกล้าวิชามาตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร ท่านกับสหายเคยเดินทางไปทั่ว เพื่อทดลองวิชาอาคมกับพระคณาจารย์ในสมัยนั้น จนพระเกจิอาจารย์ยุคสงครามโลกขนานนามท่านอีกชื่อว่า "เณรน้อยอยุธยา"

เรื่องราวของพระอาจารย์อภิชิโต ภิกขุ (ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ) ลี้ลับอัศจรรย์ของอาจารย์ในดง ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งค้นคว้า ยิ่งศึกษา ยิ่งน่าสนใจ เพราะข้อมูลเกี่ยวกับพระอาจารย์นั้น เป็นข้อมูลที่น่าศึกษาทั้งสิ้น หากจะถามว่า “คุณจะเชื่อเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติ” หรือคุณเคยเห็นอภินิหารมาจากที่ไหนๆ คุณก็จะถูกถามในคำถามที่เหมือนๆ กัน

หากแต่เรื่องราวของพระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ อาจจะดูเกินจริง หากแต่ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกิดจาก “อำนาจพลังจิต” ยังผลให้สำเร็จได้ด้วยจิต “ซึ่งเป็นการฝึกฝนอย่างดีจากพระอาจารย์ในดง เพราะเรื่องอำนาจของจิตย่อมต้องใช้อำนาจของจิตมาพิสูจน์เท่านั้น นี่แหละคือศิษย์น้องหลวงปู่เทพโลกอุดร"

ความเป็นจริงทั้งหมดที่คณะศิษย์ทุกคนเข้าในกันว่า พระอาจารย์ชาญณรงค์ ไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ธรรมดา หากแต่ว่าพระอาจารย์นั้นนับเป็นพระอาจารย์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย ด้วยอำนาจและพลังจิตอันแก่กล้าและสูงส่ง เกินกว่าจะหาคำใดมาอธิบายได้ ฉะนั้น เมื่อครั้งพระอาจารย์เดินธุดงค์ ท่านจะมักชอบเงียบคนเดียว โดดเดี่ยว อาจหาญ เพราะท่านมั่นใจในครูอาจารย์ มั่นใจในวิชามั่นใจในอำนาจพลังจิต ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครๆ มาช่วยเหลือ

ชาติภูมิ

พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ
นามเดิม ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ
เกิดวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2467 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 ปีชวด
โยมบิดาชื่อ พระยาศิริสมบัติ (ศึกษา ศิริสมบัติ)
โยมมารดา ชื่อ ทราบเพียงว่า เป็นชาวโคราช
มีพี่น้อง 1 คน
มรณภาพ ด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพ
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2536

สมัยหนึ่งพระอาจารย์มาจำพรรษาอยู่วัดลาดบัวขาว เจริญกรุง สมัยบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเงินคลองบางพรม ต่อมาท่านได้พบกับพระอาจารย์ในดง และท่านก็เข้าไปศึกษาสรรพวิชาลี้ลับพิสดารกับหลวงตาดำราว 3 เดือน

ลูกศิษย์ที่เคยพบพระอาจารย์ ไม่มีใครสงสัยในตัวพระอาจารย์เลย เพราะท่านได้ศึกษาวิชามาจากในดงจริง

“พลังจิต”
“อำนาจพระพุทธคุณ”

ในการอธิษฐานคุณจิต ปลุกเสกที่คุณพระเครื่องของท่าน พระอาจารย์ท่านเคยกล่าวกับคุณศิษย์ไว้ว่า “อำนาจพลังจิตในพระเครื่อง ก็เปรียบเหมือนพลังไฟในหม้อแบตเตอรี่ ผ่านวันเวลาไปพลังย่อมอ่อนลง และเสื่อมถอยได้บ้างเช่นกัน"

การนำพระเครื่องมาบูชา ก็ถือว่าการเสริมพลังในตัว ด้วยการอธิษฐานอัญเชิญบารมีพระรัตนตรัย อันมีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ ตลอดจนถึงคุณเทพเทวา คุณครูบาอาจารย์ มาประสิทธิ์ให้แก่ตน โดยการอาราธนาปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ

เพราะการปลูกเสกวัตถุมงคลเพื่อช่วยศิษย์ ท่านพระอาจารย์จะปลุกเสกเป็น 2 ประการ คือ ปลุกเสกแบบบุ๋นและบู๊ โดยท่านจะปลุกเสกแบบบุญญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และมีอีกหลายวิธีที่ท่านปลุกเสกลงสู่วัตถุมงคลนั้นๆ

การปลุกเสกทุกครั้ง ท่านพระอาจารย์จะอัญเชิญคุณพระรัตนตรัย คุณเทพเทวา คุณบิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ อันมีหลวงตาดำเป็นที่สุด รวมทั้งครูทุกๆ องค์ และฤาษี เพื่อมาปกป้องรักษา ฯลฯ เมื่อถือวัตถุมงคลไป ณ ที่ใด ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย ปราศจากอันตรายใดๆ มาแผ้วพาน เพราะวัตถุมงคลทุกชนิดของพระอาจารย์ จะลงด้วย “วิชาเพชรหลีก วิชาเพชรกลับ” หมายความว่า “เรื่องเลวร้าย กลับกลายเป็นดี”

ประวัติการสร้างและร่วมอธิฐานจิต มีดังนี้

ปี พ.ศ. 2485

ร่วมอธิฐานขณะที่ท่านเป็นสามเณรแต่สำเร็จฌาน 4 ที่วัดลาดบัวขาว โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) วัดสุทัศน์ เป็นประทานในพิธีสร้างปลุกเสก

ปี พ.ศ. 2496

ท่านทำการปลุกเสกเดี่ยว ณ บ้านขวัญตระกูล (สมเด็จแดง) เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2496 ตรงวันเสาร์ห้า เป็นวันแข็งตามหลักไสยศาสตร์ โดยการปลุกเสกพระรุ่นนี้แบ่งออกเป็น 3 พิมพ์ คือ

  1. พิมพ์ใหญ่
  2. พิมพ์คะแนน
  3. พิมพ์นางพญา

โดยพระสมเด็จแดงทั้ง 3 พิมพ์นี้ ท่านได้ปลุกเสกแบบเรียบง่าย หากว่าท่านพระอาจารย์นั่งปลุกเสกผ่านไปราว 1 ชั่วโมง ถาดที่ใส่พระสมเด็จแดง รวมถึงพานที่ใส่พระเครื่องของคณะศิษย์เริ่มสั่นสะเทือน ต่อมาพระสมเด็จแดงที่อยู่ในถาดเริ่มลอยขึ้นเหนือพื้น 1 ศอก และพระเครื่องของศิษย์ก็ลอยขึ้นพร้อมกัน และลอยอยู่อย่างนั้น จนท่านพระอาจารย์ออกจากสมาธิจิต พระเครื่องของเหล่านั้นทั้งหมดจึงค่อยๆ ต่ำลงสู่ถาดตามเดิม หากแต่ว่าพระสมเด็จแดงท่านไม่ได้แจกศิษย์คนใด ท่านเก็บพระเอาไว้ทั้งหมด และได้นำไปปลุกเสกเดี่ยวอีก 1 พรรษา เพราะพระนี้มีพลังเต็มที่ ท่านจึงพิจารณามอบให้กับคนที่มีความเหมาะสมเท่านั้น

ท่านพระอาจารย์เสกเน้นหนักไปทางอิทธิฤทธิ์ เพื่อเกื้อหนุนค้ำคูณดวงชะตา เด่นตบะมหาอำนาจ เมื่อบูชาอยู่กับตนเสมอๆ จะไม่ตกต่ำอับจน

พระสมเด็จแดงส่วนมากท่านจะแจกแก่ผู้พิพากษา ตำรวจ ทนายความ ข้าราชการ เจ้าสัว พ่อค้า และผู้มีชื่อเสียงหลายท่านบูชาพระสมเด็จแดงซึ่งได้รับจากมือท่านอาจารย์ เพราะพระพิมพ์นี้ดีทางเกื้อหนุนดวงชะตา พลิกผันชะตาตามสมควรแก่วาสนาของแต่ละบุคคล เนื้อมวลสารท่านเน้นผงวิเศษว่านต่างๆ และมวลสารศักดิ์สิทธิ์ เนื้อจะออกแดงๆ เพราะว่านแดง

ปี พ.ศ. 2503 “สร้างและปลุกเสก “สมเด็จเขียว”

การสร้างพระสมเด็จเขียวรุ่นนี้ ท่านจัดพิธีกรรมครบถ้วนสมบูรณ์ และปลุกเสกเป็นเวลายาวนาน โดยใช้เวลาปลุกเสกนาน 2 ปี ท่านปลุกเสกแบบมหาอุตม์ และท่านได้นำไปแจกแก่ทหารในปี 2505 ส่วนแม่พิมพ์นี้ท่านได้นำไปสร้างพระสมเด็จเนื้อขาวขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อแจกแก่ศิษย์ที่เป็นพ่อค้า นักธุรกิจ และคนทั่วไป

ปี พ.ศ. 2510 สร้างปลุกเสกพระสมเด็จน้ำตาล (ผงครูฝึก)

พระรุ่นนี้มีพุทธคุณสูงมาก ดีเลิศในทางคุ้มครองปัองกัน สามารถอธิษฐานทำน้ำมนต์ อธิษฐานบอกกล่าวให้ช่วยเหลือตามวาสนา มีผลทางกำบังกาย ฉะนั้น เมื่อมีพระนำติดตัวห้ามเข้าที่อโคจร สถานบริการ ห้ามแขวนพระที่กินเหล้าเมายา ไปทำชั่ว ผิดศีล ผิดธรรม เพราะจะส่งผลร้ายกลับทันที เมื่อใครมีบูชาควรทำตัวให้เหมาะสมด้วย พระรุ่นนี้ท่านแจกเฉพาะผู้ที่ท่านพิจารณาแล้วเท่านั้น

พระปิดตาเม็ดบัว

โดยใช้เนื้อพระสมเด็จน้ำตาลมากดพิมพ์ แต่ท่านแยกในการปลุกเสก ท่านปลุกเสกครบ 3 เดือน จึงเด่นทางมหาอุตม์ หยุดอาวุธ

ปี พ.ศ. 2515

สร้างพระพิมพ์สมเด็จฝังพระธาตุ เพราะพระธาตุที่นำมาฝั่งบรรจุรพระนั้นเป็นพระธาตุที่เสด็จมาเอง จึงนำมาบรรจุสร้างพระพิมพ์นี้ขึ้น และท่านพระอาจารย์ปลุกเสกเรื่อยๆ จึงถึง พ.ศ. 2516 จึงปลุกเสกอีกครั้งในทางปกป้อง คุ้มครอง ป้องกันภัย จากนั้นจึงนำมาแจกลูกศิษย์

พระสมเด็จผง 108 รุ่นสุดท้าย พ.ศ. 2529

โดยการดำริขึ้นเพื่อหาทุนบูรณะซ่อมแซม ทะนุบำรุงวัด ท่านพระมหาเหลื่อม วัดอัมพวัน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ท่านจึงกราบเรียนขออนุญาต จัดสร้างพระเครื่อง เพื่อหาทุนเพื่อบูรณะและสร้างอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรม พระอาจารย์อภิชิโต แล้วภายหลังท่านอนุญาตให้สร้างอีก ทั้งเป็นการเมตตา อนุเคราะห์ต่อศิษย์

การสร้างพระชุดนี้มีส่วนผสมของดินสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จากประเทศอินเดีย มีผงจากใต้ฐานซุกชีพระประธาน มีผงเก่าสมเด็ดวัดระฆัง ผงวัดบางขุนพรม ผงวัดพลับ ผงวัดปากน้ำ ผงเก่าท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิริทร์ ฯลฯ ผงเก่าของหลวงปู่พลอย พรหมโชโต วัดเงิน คลองบางพรม ผงของพระอาจารย์ที่ท่านสะสมไว้ นำมาปั้นทำเป็นแท่ง แล้วเขียนอักขระยันต์บนกระดานชนวน แล้วลบผงสำทับซ้ำอีก เพื่อนำผงมาสร้างพระเครื่องชุดนี้ โดยท่านมอบแม่พิมพ์พระของเก่าเป็นแม่พิมพ์ไม้แกะ (พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่) ซึ่งแม่พิมพ์เป็นสมบัติส่วนตัวของพระอาจารย์เอง (แม่พิมพ์ไม้ตัวตนมี 1 อัน แต่นำมากดกับยางพิมพ์ไม้แกะ) พระสมเด็จเพิ่มด้วย จำเป็นต้องมากดพระจำนวนมาก จึงต้องสร้างแม่พิมพ์เพิ่ม

ส่วนพระสมเด็จพิมพ์คะแนน กับพระพิมพ์นางพญา เป็นแม่พิมพ์หิน แล้วนำมากดพิมพ์กับยางถอดแบบพิมพ์พันปลอม เป็นการพิมพ์สร้างแบบโบราณ เมื่อกดพิมพ์ได้องค์พระจะออกมา จึงมักไม่ค่อยสวย เหมือนพระเครื่องรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน

พระเครื่องรุ่นนี้ท่านมอบให้พระมหาเหลื่อมเป็นผู้จัดสร้างแต่ครั้งแรก พระมหาเหลื่อมกราบขออนุญาตสร้างพระชุดนี้ และขอเรียกชื่อพระผงชุดนี้ว่า “พระสมเด็จอภิชิโต” ท่านพระอาจารย์ไมอนุญาตท่านบอกว่า “ไม่เอา เดี๋ยวรับแขกกันยุ่งตาย”

พระเครื่องรุ่นนี้มีด้วยกัน 3 พิมพ์หลัก กับอีก 1 พิมพ์พิเศษ ดังนี้

  • พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่
  • พระสมเด็จพิมพ์คะแนน
  • พระพิมพ์นางพญา
  • พระพิมพ์ปิดตา (จัดเป็นพิมพ์พิเศษ สร้างจำนวนน้อย มีอยู่ราวๆ ร้อยกว่าองค์ หายากที่สุด ด้วยสร้างน้อย ปลุกเสกยาก) ในการกดพิมพ์พระเครื่องนี้ พระอาจารย์อภิชิโต ภิกขุ ท่านเมตตากดพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่พระมหาเมตตา กดพิมพ์พระจำนวนพอสมควร จากนั้นนำมาปลุกเสกตลอดพรรษา โดยพระอาจารย์เป็นผู้กำหนดฤกษ์ยามด้วยท่านเอง ในการปลุกเสกพระเครื่องท่านได้สอนพระมหาเหลื่อมว่า “ตัวนำคือจิต ส่วนตัวคาถาเป็นตัวตามลงไป ต้องกำหนดวิชาไปให้ถ้วนทั่วทุกส่วนของพระเครื่อง ดังนี้จึงจะได้ผลสมบูรณ์พร้อม"

ขอขอบคุณ : เนื้อความทั้งหลาย บางส่วนคัดจากหนังสือ อภินิหารสะท้านไตรภพ

ผู้เขียน : ศิษย์อีสาน

ที่มาบทความ : www.พระเครื่องอีสาน.com

TOP