บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: ampoljane.com
ผู้เขียน: อำพล เจน
ภาพพญานาคบนท้องฟ้าที่นำมาลงให้ดูนี้ เป็นภาพที่มาจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 กันยายน 2549 ถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์มือถือ ผู้ถ่ายคือ นายยงยุทธ ฤกษ์อุดม พ่อค้าขายอาหารตามสั่งหน้าปากทางเข้าคุ้มหนองคู อยู่บ้านเลขที่ 27/17 ถนนรอบเมือง เขตเทศบาลนครขอนแก่น
นายยงยุทธเล่าว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ตนกับภรรยาไม่ได้ออกไปขายของเพราะว่าฝนตกหนัก พอตกค่ำจึงชวนเพื่อนพ้องมาร่วมวงดื่มเหล้าที่หน้าบ้านเช่า สักพักเห็นแสงไฟหลากสีพุ่งไปมาอยู่บนฟ้าตะวันออก จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเอาไว้และได้ภาพตามที่เห็นนี้
นายยงยุทธเชื่อว่าเป็นภาพพญานาคจริงๆ และตั้งใจว่าจะนำภาพถ่ายนี้ไปขยายใส่กรอบไว้บูชาต่อไป
ตามข่าวกล่าวว่า มีชาวบ้านมากมายทยอยกันไปขอดูภาพพญานาคบนท้องฟ้าของนายยงยุทธตลอดเวลา แสดงว่ามีผู้สนใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ส่วนพญานาคในภาพจะเป็นพญานาคจริงหรือไม่ ผมก็เห็นว่ายังจะสรุปไม่ได้ คงเห็นแต่เพียงว่าแปลกประหลาดดี
ภาพจาก: www.thepprathan.com
เรื่องพญานาคบนท้องฟ้าที่ปรากฏในรูปลำแสงประหลาดหลากสีสันนั้น เคยปรากฏมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งที่วัดพระธาตุพนมตอนปี พ.ศ. 2500 ดังบันทึกของพระเทพรัตนโมลีต่อไปนี้
“พ.ศ. 2500 เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ (วันออกพรรษา) เวลากลางคืน บ่าย 2 โมง (คือเวลาตี 2 นั่นแหละครับ คนโบราณยังเรียกว่า บ่ายกลางคืน หรือบ่ายกลางวัน) มีฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วก็พรำมาอีก 20 กว่านาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินเฟือนในคืนนั้น นายไกฮวด ชาวตลาดออกมารองน้ำฝนที่บ้านของตน เห็นแสงประหลาดโตเท่าลำตาล มีสีต่างๆ กัน พุ่งแข่งกันมาจากทิศเหนือ แสงนั้นมาถึงตรงพระธาตุแล้วหายไป ได้เรียกภรรยาออกมาดูด้วย สงสัยว่าจะมาแต่ไหน จะออกจากชายคาร้านไปดูริมแม่น้ำโขงเพราะบ้านอยู่ใกล้ก็กลัวฟ้าร้องและขโมยจะเข้าบ้านได้ แต่มองลอดชายคาระเบียงร้านดูด้วยความสงบ รุ่งเช้าเล่าให้ฟังมีคนสนใจน้อยมาก ต่อมาอีก 2 วัน คือ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนเดียวกัน เจ้าอาวาสให้สามเณรลูกศิษย์ตรวจเหตุการณ์ดูทางในเข้าไปพบพญานาคทั้ง 7 เรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุ หงอนแดง และหางแดง สามเณรน้อยงงอยู่ ประเดี๋ยวกลับกลายเป็นมานพ 7 นาย ทรงเครื่องขาวนั่งเรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุชั้นใน สามเณรสนเท่ห์ใจ งงจนพูดอะไรไม่ออก จะว่าก้มก็มิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม มานพหัวหน้าร้องถามว่า พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา สามเณรงงอยู่มิได้ตอบอะไร ตั้งใจว่าจะกลับกุฏิ ก็พอดีพญานาคราชหัวหน้าตรัสว่า พ่อเณรจะกลับแล้วหรือ ขอไปด้วยจะสนทนากับท่านเจ้าคุณ พอขาดคำก็เข้าประทับร่างเณร สามเณรหมดความรู้สึก ส่วนร่างของเณรที่เข้าสมาธินิ่งอยู่ต่อหน้าเจ้าอาวาสและแขกอีกราว 4 คน ก็แสดงปฏิกิริยายกมือไหว้เจ้าคุณพร้อมกับพูดว่า สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาได้ 2 คืนแล้วมิรู้หรือ ท่านเจ้าคุณไต่ถามได้ความว่า เป็นพญานาคทั้ง 7 มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย พระอินทราธิราชมีบัญชาให้มารักษาพระบรมธาตุ พวกที่รักษาแต่ก่อนอาศัยแต่สินบนเครื่องเซ่นสรวง ท่านไม่ต้องการอันใด ขอแต่น้ำบูชาถ้วยเดียวเท่านั้น ฯลฯ ต่อมาก็เข้าประทับทรงเรื่อยๆ มาแสดงธรรมสั่งสอน ดูโรค บอกยารักษาคนป่วยเห็นผลมามาก จนกระทั่งสั่งให้เอาไหน้ำมนต์ไปตั้งไว้ในลานพระธาตุชั้นใน แล้วเอาน้ำมนต์มาใช้ก็ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่อัศจรรย์จนบัดนี้ ผู้ฝึกทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าจนดับพละ 5 ได้แม้เพียง 5 นาที ฝึกจนชำนาญแล้วก็จะสามารถเห็นได้ทางญาณ ท่านบอกว่าจะอยู่ไปจนหมดศาสนาพระโคดม”
ภาพจาก: www.facebook.com/miniKorean333
มีผู้อ่านท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า พญานาคทั้ง 7 นี้มีชื่อเรียงตามลำดับดังนี้
องค์แรกมีนามว่า พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธานหมู่คณะ องค์ที่ 2 คือ พญาศีลวุฒินาโค องค์ที่ 3 คือ พญาหิริวุฒินาโค องค์ที่ 4 คือ พญาโอตตัปปะวุฒินาโค องค์ที่ 5 คือ พญาพาหสัจจะวุฒินาโค องค์ที่ 6 คือ พญาจาคะวุฒินาโค และองค์ที่ 7 พญาปัญญาเตชุวุฒินาโค
ชื่อพญานาคทั้ง 7 นี้ ได้มาจากการประทับทรงสามเณร ซึ่งผู้อ่านท่านนี้ได้แนบเอกสารประกอบมาด้วยว่า ชื่อสามเณรทรัพย์ คือทราบชื่อสามเณรรูปนี้ด้วย
ข้อเท็จจริงของชื่อสามเณรทัพย์นั้นได้มาจากการสัมภาษณ์แม่ชีมณีจันทร์พันธ์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2537 หลังจากเกิดเหตุการณ์เข้าทรง 37 ปี แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายท่านบอกว่าสามเณรนั้นชื่อ สมบัติ ก็มี
เมื่อดูในบันทึกที่เป็นทางการของวัดธาตุพนมที่เขียนโดยอดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุพนมกลับไม่ปรากฏชื่อสามเณรแต่อย่างใด
ผู้อ่านท่านนี้ได้แย้งมาด้วยว่า ชื่อของพญานาคทั้ง 7 องค์ ที่ส่งมาให้ผมนั้นไม่ตรงกันกับที่ผมได้ลงไว้ในสืบหาพระเครื่องดี ฉบับ 566 หน้า 42 ซึ่งที่จริงก็คงจะเป็นหน้า 67 ที่ได้กล่าวถึงความเห็นของหลวงปู่คำพันธ์ ซึ่งเห็นว่า ทำนายไกฮวดเห็นลำแสงประหลาด 7 ลำแสงนั้นเป็นพญาศรีสุทโธและอำมาตย์ทั้ง 6 แสดงฤทธิ์ และบอกชื่ออำมาตย์ทั้ง 6 ไว้เพียง 3 ชื่อ ซึ่ง 3 ชื่อนี้ไม่ตรงกับข้อมูลที่ผู้อ่านท่านนี้ส่งมา
เรื่องชื่อนี้เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เกิดจากความเชื่อของแต่ละแหล่งข้อมูล และเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นแค่นามธรรม จับต้องไม่ได้ เพราะว่าออกมาจากปากของร่างทรง จึงขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเชื่ออะไรหรือไม่เชื่ออะไร
อย่างไรก็ตาม ชื่อพญานาคทั้ง 7 นี้ เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า เป็นชื่อที่มาจากสัตตธรรม คือ ข้อธรรมทั้ง 7 คือ สัทโธ (ศรัทธา) ศีล หิริและโอตัปปะ จาคะ ปัญญา นับว่าเป็นชื่อที่ดีมาก และชื่อพญานาคทั้ง 7 นี้ก็เป็นที่ยอมรับอยู่ในวัดพระธาตุพนมจนทุกวันนี้ ถึงกับว่ามีการกำหนดสีประจำพญานาคแต่ละองค์ไว้ด้วย
พญาสัทโท สีน้ำเงิน พญาศีลวุฒิ สีเขียวแก่ พญาหิริวุฒิ สีเขียวอ่อน พญาโอตตัปปะ สีเหลือง พญาพหุสัจจุ สีชมพู พญาจาคุวุฒิ สีแสด และพญาปัญญาวุฒิ สีขาว
ในพิธีบูชาพญานาคของวัดพระธาตุพนมทุกปีก็จะจัดพานกระทง 7 สี ตามนี้
ภาพจาก: www.facebook.com/miniKorean333
เกี่ยวกับพิธีบูชาพญานาคของวัดพระธาตุพนมนั้น แต่เดิมไม่มี เพิ่งจะมีขึ้นครั้งแรกในปี 2501 คือ ปีรุ่งขึ้นหลังจากนายไกฮวดเห็นลำแสงประหลาด (พ.ศ. 2500) และก็มีต่อมาเป็นประจำทุกปีจนปัจจุบันนี้ (พิธีจัดในวันออกพรรษา)
ในการจัดพิธีบูชาพญานาคครั้งแรกในปี 2501 นั้น ก็มีผู้ได้เห็นลำแสงประหลาดอีกครั้งหนึ่ง ดังบทสัมภาษณ์นายสมบูรณ์ ตั้งไพบูลย์ ต่อไปนี้
“วันจัดงานครั้งแรก 2501 นั้น ฉันเห็นแถบสีขึ้นมา 7 สี พาดอยู่บนท้องฟ้า เกิดขึ้นตอนกลางคืนก่อนเวลาตีสอง ฉันไหว้พระไหว้อะไรแล้วก็ออกไปเดินยืดแข้งยืดขาอยู่ในลานพระธาตุ (เดินจงกรม) มีเพื่อนออกมาด้วยคนหนึ่ง เพื่อนบอกว่า ดูโน่นแน่นบนฟ้า ฉันเงยหน้าดูเห็นเป็นริ้วๆ 7 สี จะว่ารุ้งกินน้ำก็ไม่ได้ อะไรจะมีรุ้งตอนกลางคืน ริ้วของสี 7 สี กิดขึ้นนานพอสมควร จนพอจะเรียกคนอื่นมาดูด้วยกันได้อีกหลายคน ฉันก็เลยนั่งลงยกมือไหว้”
เรื่องแสงประหลาดที่มีผู้พบเห็นก็ไม่เคยได้ยินอีกเลยจนกระทั่งนายยงยุทธ ชาวขอนแก่นบันทึกภาพไว้ได้ในเร็วๆ นี้ ซึงยังไม่อาจทราบได้ว่าลำแสงที่นายยงยุทธถ่ายภาพได้จะเป็นเหมือนลำแสงที่นายไกฮวดและคนของนายสมบูรณ์เห็นหรือไม่
ความเชื่อในเรื่องพญานาคนี้เป็นเรื่องที่พูดลำบาก หาที่จะหาเหตุผลมากล่าวอ้าง จนแม้เพื่อนพ้องของผมเองก็ตั้งข้อสงสัยว่า พญานาคนี้เป็นอะไรแน่ ภพภูมิของพญานาคต่ำกว่าคนหรือเปล่า หรือว่าพญานาคจะจัดเป็นพวกอสุรกาย
พระมหาสม สุมโน ได้อธิบายเกี่ยวกับพญานาคไว้เพียงสั้นๆ ว่า
“พญานาคเป็นเทวดาพวกหนึ่ง ไม่ใช่งู อยุ่รวมกัน แต่อยู่คนละภพ ละเอียดกว่ามนุษย์เรา และฝึกวิชาได้ในระดับหนึ่ง”
ภาพจาก: www.sites.google.com/site/wadphrathatuphnmwrmhawihar
ความเชื่อในเรื่องพญานาคทั้ง 7 ยังปรากฏอยู่ในบทเทศนาของเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ปี 2530 ระหว่างพิธีบูชาพญานาคประจำปีนั้นดังนี้
“องค์สมเด็จพญานาคเจ้าทั้ง 7 ได้เสด็จมาประทานโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรม ได้อาศัยร่มเงาพระธาตุพนมเจ้ามาเป็นเวลาหลายสิบปี เริ่มแต่พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสองค์ก่อนลำดับมา ปรากฏได้ประจักษ์ในการรักษาบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บแก่ประชาสัตว์ ประชาชนน้อยใหญ่หลั่งไหลมา ได้ความสุขความเจริญ แบ่งเบาบรรเทาทุกข์ในกาย ใจ ตามลำดับ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนตน ส่วนรวม ประเทศชาติทั้งหลาย
ข้าพเจ้าในนามเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม คณะกรรมการสงฆ์ 12 รูป คณะไวยาวัจกร คณะสงฆ์ สามเณร 300 กว่ารูป ธีพราหมณ์ พราหมณ์ชี ลูกศิษย์ คนงาน ที่อาศัยแผ่นดินวัดพระธาตุพนมทั้ง 300 ไร่ และ 380 ไร่ที่ได้มาใหม่ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพระบารมีธรรม
ต่อจากนั้นกล่าวถึงทศชาติอันเป็นตัวอย่างของความตั้งใจในการบรรลุนิพพาน โดยเสวยชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อบรรลุแล้วได้เทศนาโปรดสัตว์ มนุษย์ เทวดา ทั้งไตรภูมิ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ
พญานาคเคารพพระพุทธเจ้ามาขอบวช พระพุทธเจ้าให้บวช บวชแล้วนอนกลางวัน ไม่ปิดประตู สติไม่พอนอนแล้วกลายเป็นงู คนไปฟ้องว่าทำไมเอางูมาบวช แต่ตอนเช้ากลายเป็นพระ พระนาครูปนั้นเลยสึก แล้วขอฝากชื่อไว้เพราะเคารพพระพุทธเจ้า ใครมาขอบวชก็ให้ได้ชื่อว่าบวชนาคเถิดพระเจ้าข้า
เพราะฉนั้นเรื่องพญานาคเชื่อได้ แต่เรื่องหลอกเอาเงินคนนั้นเป็นบาป ถือว่าเชื่อไม่เป็น พญานาคมีจริง มีได้เป็นจริง เป็นได้ อาจเป็น 7, 100, 1000 องค์ นับถือได้ เคารพปฏิบัติได้ ส่งเสริมได้ อุปัฏฐากได้ ต้องให้ได้ประโยชน์ พระธาตุพนมเคารพได้เป็นบุญ เคารพผิดเป็นบาป แม้แต่พระ อาศัยญาติโยมเลี้ยง หากินมาให้ พระเณรย่อมเป็นศัตรูตัวเอง กินข้าวบาตรโยมไม่เป็น
พญานาคทั้ง 7 องค์ อย่าได้เกรงใจคน ขอให้ศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ขอมอบสิทธิอำนาจวัดพระธาตุพนม พระเณรปฏิบัติตัวไม่ดี ขอให้พ่นพิษพญานาคใส่เพื่อฆ่ากิเลส ความโลภ โกรธ หลง แก่พระวัดนี้ พญานาคเจ้าทั้ง 7 องค์ มีสัทโธพญานาคเจ้า เป็นต้น ขอได้ทรงทราบ รับทราบ ได้รับศีล ส่วนกุศลที่พ่อแม่พี่น้อง ที่พระเดชพระคุณ ท่านพ่อ พระธรรมราชานุวัตร ได้เป็นองค์ต้น จัดของแต่งสถานที่รับรองแด่พญานาคทั้ง 7 แห่ง พระธาตุพนม เทวดาทั้งหลายที่รักษาพระธาตุ ปู่ย่าตาทวด มเหสักข์หลักเมืองที่รักษาพระธาตุทุกองค์ทุกท่านขอได้โปรดทราบ รับส่วนแสดงออกอำนาจอิทธิ์ฤทธิ์มหากุศล ฤทธิ์มหานภาพทั้งหลายที่จะปราบโลกสกปรก คนเสนียดจัญไรอย่าให้มีในวัดนี้ ในชีวิตจิตใจเราทั้งหลายนี้ให้หนีจากไปให้ได้แต่ความเจริญ สามัคคี มงคล 38 ประการ ขอถวายพระพรแด่พญานาคทั้ง 7”
ภาพจาก: www.pantip.com
ความเชื่อในเรื่องพญานาคที่ปรากฏนี้ เป็นความเชื่อที่แน่นแฟ้นไม่คลอนแคลน เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวอุบลฯ ที่เชื่อว่ามีพญานันทนาคราชรักษาเมืองอุบลฯ โดยมีวังอยู่ในแม่น้ำมูลตรงบริเวณท่าน้ำวัดหลวง (ใกล้ตลาดใหญ่) จนถึงกับมีพิธีกรรมบูชาและประทับทรงพญานันทนาคราชที่วัดหลวงในวันออกพรรษาทุกปี
เกี่ยวกับพญานาคในแม่น้ำมูล มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับยายพุ่ม (ไม่ทราบนามสกุล) ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ตัวยายพุ่มเองเป็นชาวลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลฯ ตั้งแต่ยังเป็นสาว ต่อมายายสว่าง พาศิริ ได้นำตัวยายพุ่มมาอยู่ด้วยกันที่เมืองอุบลฯ โดยเช่าบ้านอยู่ใกล้ท่าน้ำตลาดใหญ่ ซึ่งเวลานั้นคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาราวๆ พ.ศ. 2469-2470 โดยทั้งยายพุ่มและยายสว่างมีอายุได้ประมาณ 20 ปี
ครั้งหนึ่งยายพุ่มลงไปอาบน้ำมูล ได้นำผ้าเปื้อนระดูของตนลงไปซักล้างด้วย ขณะที่กำลังยืนแช่น้ำขนาดหัวเข่าซักผ้าเปื้อนระดูอยู่นั้น เห็นงูสีเขียวลอยน้ำตรงเข้ามา แล้วมุดน้ำลงไปพันเกี้ยวรอบขาของยายพุ่ม ชูคอโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาด้วยลักษณะเป็นงูมีหงอนสีทอง ลำตัวไม่ใหญ่มากแค่ประมาณท่อนแขนของยายพุ่มเอง
ยายพุ่มตกใจถึงกับหงายหลังล้มลงไป งูสีเขียวหงอนทองก็ชูคออยู่ตรงหน้ายายพุ่มแล้วพูดออกมาเป็นเสียงมนุษย์ว่า “อย่าทำแบบนี้อีกนะ เพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับเรามาก่อนจึงจะไว้ชีวิต”
หลังจากนั้นมายายพุ่มก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนถือศีลปฏิบัติธรรม และไม่อาบน้ำเลยจนกว่าจะถึงวันพระ คือ อาบน้ำเฉพาะวันพระเท่านั้น และจะมาอาบตรงท่าน้ำที่ยายพุ่มพบงูมีหงอนสีทอง ลำตัวเขียว จนตลอดชีวิต
จากเหตุการณ์นั้น ยายพุ่มยังได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอีกอย่างหนึ่งคือ กลายเป็นคนพูดอะไรออกมาแล้วจะเป็นจริงตามพูดทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดเรื่องอดีตหรืออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเองหรือของคนอื่น บอกได้แม้ว่าใครจะตายเวลาไหน ด้วยเหตุอะไร คือพยากรณ์อะไรก็ถูกต้องไปหมดจนเป็นที่นับถือของชาวเมืองอุบลฯ ตลอดสมัยของชีวิตยายพุ่ม
ภายหลังยายพุ่มย้ายมาอยู่ในซอยข้างวัดแจ้ง ยังคงเป็นผู้ที่หากทักท้วงอะไรจะเป็นจริงเช่นเดิม และยังเดินทางไปอาบน้ำที่ท่าน้ำตลาดใหญ่ทุกวนพระเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ที่นี่ขณะมีอายุประมาณ 80 ปี
งานศพยายพุ่ม คนทั้งซอยวัดแจ้งร่วมกันเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งพระเณรในวัดแจ้งด้วย
มีผู้ที่รู้จักใกล้ชิดยายพุ่มท่านหนึ่งคือ ป้านิภา เพียรสุข ปัจจุบันพำนักอยู่ตรงข้ามโรงแรมปทุมรัตน์ เมืองอุบลฯ ได้เล่าว่า
“ยาย พุ่มเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดอะไรออกมาเป็นจริงหมด และยายพุ่มเคยบอกว่าพญานาคที่แม่น้ำมูล ยายพุ่มได้พบเห็นบ่อย อาจจะแทบทุกครั้งที่ลงไปอาบน้ำที่นั่น โดยมักจะเห็นคราวละ 2 ตัว บางทีก็ออกอาการเล่นน้ำหยอกล้อกันคล้ายๆ จะเป็นนาคผัวเมียทำนองนั้น”
เรื่องของยายพุ่มนี้คนที่รู้จักยายพุ่มทุกคนจะรับรองนับถือว่าเป็นความจริง นับว่าแปลกประหลาดดี
ภาพจาก: www.pantip.com
ยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับพญานาคอย่างชัดเจน เพราะมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ท่านผู้นี้คือ ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี
ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ในตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็นยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า “ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว” ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวลมีลูกศิษ์ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด
ในสมัยยายชีนวลเป็นสาวก็เป็นผู้ใฝ่ธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอ
พอถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่งฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับ
ยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามีออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้
ประสบการณ์ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิดขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุกๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านรำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่
ถ้ำแกลบอยู่ในพื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ในสมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่าหรือไปทำอะไรอยู่แถวๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อยๆ
เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มาและบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำแกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น
หลังจากแม่ชีสาวเดินขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าวหรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหาร
ชาวบ้านทั้งหลายเริ่มวิพาษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่างๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่อย่างไร
เมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่ ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหงอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านั้น
ชาวบ้านทุกคนเชื่อว่าขณะนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า
“ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่าหรือเข้าใกล้บรเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”
ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำ ที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่อาศัย
เมื่อกลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย
ยายชีนวลมีวิชาความรู้ดีจริงสมคำหลวงปู่คำพันธ์ว่าไว้ ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลังหรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถามมักจะตอบว่า
“บ่อู้ บ่จัก” (ไม่รู้ ไม่เป็น)
แต่ถ้าสนิทชิดเชื้อแล้ว จะทราบเองว่ายายชีเก่งและมีเรื่องราวพิสดารแต่หนหลังมากมาย ไว้มีโอกาสอาจจะเขียนถึงยายชีเป็นการเฉพาะโดยละเอียดทีหลัง
เรื่องประสบการณ์ของผู้ที่พบเห็นและเกี่ยวข้องกับพญานาคยังมีอีกไม่น้อย จะทยอยเล่าสู่กันฟังต่อไป