บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: ampoljane.com
ผู้เขียน: อำพล เจน
คุณวรพร ทองดีเลิศ ผู้อยู่รับใช้หลวงพ่ออุตตมะนาน 24 ปี เล่าว่าหลวงพ่ออุตตมะเคยมีประสบการณ์ในการมองเห็นพญางูยักษ์ในเขตป่าเมืองกาญจนบุรี บริเวณรอยต่อของแผ่นดินไทยกับพม่า ห้วง พ.ศ. 2500 กว่าๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างที่หลวงพ่อเพิ่งจะเข้ามาอยู่อำเภอสังขละไม่นานปี
เรื่องนี้คุณวรพร บอกว่าได้ยินจากปากของหลวงพ่อด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อได้ยินแล้วจะนึกเห็นภาพพญางูยักษ์นั้นใหญ่โตมโหฬารขนาดขบวนตู้รถไฟหรืออาจจะกว่านั้น
มูลเหตุที่ได้พบเห็นพญางูยักษ์นั้น หลวงพ่ออุตตมะ เล่าว่า รับนิมนต์จากค่ายตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่ง ตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายเอารถจิ๊ปมารับหลวงพ่อเข้าค่ายซึ่งอยู่ในป่าลึกชิดชายแดน ขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุประมาณ 50 ปี (ปัจจุบันอายุ 96 ปี และกำลังอาพาธอยู่โรงพยาบาลศิริราช)
ระหว่างเดินทางโดยรถจิ๊ปของตำรวจตระเวนชายแดน หลวงพ่อปวดปัสสาวะ คณะตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายจึงให้หยุดรถตรงบริเวณที่เป็นทุ่งโล่งกว้างใหญ่ในหุบเขา
โดยที่ไม่ทันได้สังเกตุแต่แรก ทุกคนได้เห็นพญางูยักษ์เลื้อยผ่านทุ่งโล่งอย่างช้าๆ และไม่มีอาการว่าจะแสดงความสนใจหลวงพ่อและตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นาย ทว่าตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายนั้นตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว
ขนาดของงูยักษ์นั้นยากจะบรรยาย แต่ความยาวของพญางูคงจะพอกำหนดขนาดได้ คือ หัวของพญางูเลื้อยไปถึงเขาลูกข้างหน้าแล้ว แต่หางยังอยู่เขาอีกลูกหนึ่ง
เมื่อตำรวจตระเวนชายแดนหายจากตกตะลึงก็ขยับปืนจะยิงพญางูยักษ์ หลวงพ่อก็ห้ามเอาไว้
“อย่านะ ปืนยิงไม่ออกนะ”
หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงอธิบายว่า อย่าเห็นว่าเขาเป็นแค่งู เขาต้องสร้างบารมีมาไม่น้อยจึงมีขนาดใหญ่โตปานนั้น ถ้าเจ้าจะยิงเขาจริงๆ พวกเจ้าคิดว่าปืนจะทำอะไรเขาได้ และถ้าเขาพยาบาท บ้านช่องพวกเจ้าจะเหลืออะไร แค่งูเห่าตัวเล็กๆ ยังรู้จักพยาบาท งูใหญ่ขนาดนั้นพยาบาทจะน่ากลัวแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อไม่ได้เอ่ยว่า พญางูยักษ์ที่ได้เห็นนั้นเป็นพญานาค ท่านเอ่ยแต่ว่าเป็นพญางูเท่านั้น
ภาพจาก: www.pantip.com
เกี่ยวกับเรื่องงู หลวงพ่อมีเรื่องพัวพันกับงูที่น่าสนใจมาก เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือ “อุตตมะ 84 ปี” เรียบเรียงโดย นายทรงวิทย์ แก้วศรี ดังนี้
“เรื่องของงู
วันหนึ่งผู้ใหญ่ซวยฉ่องป่วยหนัก หลวงพ่อได้ข่าวก็เป็นห่วงมาก เพราะผู้ใหญ่ซวยฉ่องเป็นผู้มีอุปการคุณต่อหลวงพ่อและทางวัด วันนั้นฝนตกพรำๆ อากาศมืดสลัว หลวงพ่อรับนิมนต์ไปสวดมนต์ที่นิเถะ พอฝนซาก็กระวีกระวาดจะไปบ้านผู้ใหญ่ซวยฉ่องซึ่งอยู่ริมดงสัก เส้นทางนั้นต้องเดินผ่านโรงพัก ตาแลขี้เมาเห็นหลวงพ่อผ่านมาก็ร้องถามว่าจะไปไหน หลวงพ่อตอบว่าจะไปบ้านผู้ใหญ่ซวยฉ่อง ตาแลจะไปด้วยกันไหม ตาแลบอกว่าจะมืดแล้ว (ขณะนั้น 5 โมงครึ่ง) อย่าไปเลย ที่ดงสักมีงูเห่าตัวใหญ่มาฉกวัวตาย เจ้าของวัวยังมาขอให้ตำรวจไปยิงงู หลวงพ่อได้ยินก็ห้ามตาแลว่าอย่าไปยิงเลย จากนั้นท่านเดินต่อไป ตาแลเป็นห่วงจึงตามหลังมาด้วย พอถึงดงสักพบงูเห่าพอดี อยู่ตรงที่กัดวัวตาย งูนั้นมีขนาดลำตัวเท่ากระติกน้ำขนาดกลาง ความยาว 3 วา กลิ่นสาปรุนแรงมาก ตอนแรกงูขดตัวอยู่ พอเห็นหลวงพ่อก็ชูหัวท่อนบนขึ้นแผ่พังพานใหญ่และยกตัวขึ้นสูงกว่าหลวงพ่อเสียอีก
หลวงพ่อยืนแผ่เมตตาให้งู ส่วนตาแลร้องว่าแผ่เมตตาไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่หนีก็ต้องยิงล่ะ เก็บไว้ก็จะเป็นอันตรายต่อสัตว์และมนุษย์ หลวงพ่อบอกว่า อย่าพูดเชียวนะว่าจะฆ่าเขา งูเขารู้ เดี๋ยวเขาตามไปถึงบ้านเลย แล้วท่านก็พาตาแลหลีกทางไปให้พ้นงู
อยู่มาอีก 3 วัน มีคนมานิมนต์หลวงพ่อไปรักษาคนป่วยที่หมู่บ้านวังกะล่าง ระหว่างทางหลวงพ่อได้ยินเสียงชาวบ้านเอะอะอยู่กลางทุ่งนา นึกว่าพวกมอญ กะเหรี่ยง และละว้าตีกัน เพราะได้ยินเสียงหลายภาษาขรมไปหมด จึงแวะเข้าไปดู เห็นมอญ กะเหรี่ยง ละว้า ล้อมงูใหญ่อยู่ เป็นงูเห่าตัวที่หลวงพ่อเคยห้ามตาแลไม่ให้ยิงนั่นเอง งูกำลังแผ่พังพานทำท่าสู้ ชาวบ้านบอกว่า งูตัวนี้ออกมาจากรูหรือจากป่าก็ไม่รู้ สงสัยว่ากำลังจะเลื้อยขึ้นเขา หลวงพ่อจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นไปล้อมเขาไว้ทำไม ชาวบ้านบอกว่า เนื้องูอร่อยดีและตัวนี้น่าจะได้เนื้อหลายกิโล
หลวงพ่อมีความเมตตางูตัวนั้น จึงบอกกับชาวบ้านว่า งูตัวนี้เขามาเฝ้าหลวงพ่ออยู่ เพื่อไม่ให้งูตัวอื่นมาทำร้าย เป็นงูของเจ้าป่าเจ้าเขา ชาวบ้านได้ยินเลยยกมือไหว้งู แล้วพากันแยกย้ายจากไป
เรื่องของงูใหญ่ยังมีอีกมาก หลวงพ่อเล่าว่า งูใหญ่ลอกคราบ 3 ปี ต่อครั้ง เวลาลอกคราบจะอ่อนแอ ต้องอยู่ในรู แต่งูใหญ่มักมีเดชะ สามารถอธิษฐานเอาดินวงล้อมปากรูไว้ สัตว์ (หรือมนุษย์) หลงเข้าไปจะงงงวยหาทางออกไม่ถูก”
พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) วัดศรีเทพประดิษฐาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม (ภาพจาก: www.dhammajak.net)
เกี่ยวกับการฆ่างูนั้น หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากให้พญานาครักเรา อย่างไปฆ่างู” เข้าใจว่าบรรดางูน้อยใหญ่สารพัดชนิดล้วนเป็นบริวารของพญานาค ดังที่ปรากฏอยู่ในตำนานหลายเรื่อง
คุณวรพร เมื่อเล่าเรื่องหลวงพ่อพบพญางูยักษ์ให้ฟังแล้ว ได้กล่าวย้ำว่า ถ้าเป็นชาวพุทธจำเป็นต้องเชื่อว่าพญานาคมีจริง มีฤทธิ์มีคุณ มีเดชะอานุภาพจริง
แต่ว่าพญานาคทั้งมวลก็คงจะเหมือนมวลมนุษย์ชาติในโลก ที่มีหลากหลายชาติพันธุ์ หลายลักษณะ ทั้งผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ทั้งยังมีหลายศาสนา และแม้แต่ไม่มีศาสนา มีทั้งใจดีและใจร้าย มีทั้งประพฤติธรรมและไม่ประพฤติธรรม ครั้นเมื่อรวมพวกเขาไว้ด้วยกันแล้วเขาก็คือ พญานาค หรือรวมทุกชาติพันธุ์ของมนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวบุกเข่นฆ่ามนุษย์สักเผ่าพันธุ์หนึ่ง มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ที่เหลือย่อมรวมตัวกันสู้ เฉกเช่นเหล่าพญานาคเมื่อลูกหลานบริวารถูกรังแกเข่นฆ่า พวกเขาก็จะลงมือกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
ดังนั้นคำพูดของหลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม จึงเป็นคำพูดที่ควรจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ แม้แต่คำพูดของคุณวรพรก็ควรจะให้เป็นข้อพิจารณาว่าเราเป็นชาวพุทธหรือไม่ เพราะว่าในพระไตรปิฏกหรือพุทธประวัติก็ได้ลงเป็นหลักฐานในการปรากฏตัวของพญานาคผู้ซึ่งมีความเลื่อมใสพุทธศาสนาเหมือนพวกเรา จึงเป็นเหตุให้ได้ยินจากปากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่ได้เล่าถึงการประสพพบเห็นพญานาคที่รักษาพุทธศาสนาตลอดมา
ยังมีท่านผู้หนึ่งคือ เรือเอกกวี บุญวัฒน์ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่กรมสื่อสารทหารเรือ ได้เล่าเรื่องการพบเห็นพญานาคอย่างใกล้ชิดให้ฟังว่า
ประมาณปี พ.ศ. 2531-2532 คุณกวี ยังทำงานอยู่หน่วย นปข. นครพนม ในตำแหน่งหัวหน้าช่างซ่อมอิเล็คโทรนิค ครั้งหนึ่งได้ลาพักร้อนกลับบ้านที่กรุงเทพฯ พอหมดเวลาพักก็เดินทางกลับนครพนมโดยรถทัวร์ ระหว่างเดินทางได้อ่านหนังสือพระ พบเรื่องครูบาอาจารย์พบเห็นพญานาค ก็นึกปรามาสอยู่ในใจว่า พญานาคยังจะมีอยู่จริงหรือ ถ้ามีจริงน่าจะให้ตนเองได้เจอบ้าง จะได้เชื่อว่ามีจริง
หลังจากกลับเข้าทำงานตามปกติในหน่วย นปข. นครพนม แล้ว คืนหนึ่งขณะที่กำลังหลับสนิทก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยได้ยินเสียงอะไรสักอย่างหนึ่งกระทุ้งข้างเตียงนอนจนสะเทือนดังตึง ตึง พอลืมตา คุณกวีก็ช็อคไปทันที
พญานาค 2 ตัว ขดลำตัวขนาดใหญ่ล้อมเตียงนอนคุณกวีเอาไว้ แต่ก็ไม่ทำอะไรคุณกวี เพียงแค่แผ่พังพานชูคอจ้องมองคุณกวีนิ่งอยู่อย่างนั้น
เวลาผ่านไปพอสมควร คุณกวี เริ่มตั้งสติได้และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ความกลัวก็คลายออกจนถึงกับกล้าเอื้อมมือไปสัมผัสลำตัวของพญานาคคู่นั้น โดยที่พญานาคทั้ง 2 ก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด
คุณกวีบอกว่า ลำตัวของท่านพญานาคเย็นเฉียบเหมือนสัมผัสน้ำแข็ง และมีลักษณะเลื่อมประกายหลากสีสันปนเปกันอยู่ในเกล็ด คล้ายเห็นรุ้งกินน้ำทำนองนั้น
การปรากฏตัวของพญานาคคู่นี้ปรากฏอยู่นานจนพอจะได้พิจารณาเห็นจนถึงกับว่ามีหงอนแดง และหางแดงด้วย แต่แล้วจู่ ๆ ก็หายวับไปเลยโดยไม่รู้ตัว
คุณกวีได้กล่าวอีกว่า
“ผมขอเอาชื่อ นามสกุล เกียรติ และยศตำแหน่งของผมค้ำประกันว่า เรื่องที่ผมเล่านี้เป็นความจริง ผมยังอยากจะเห็นพวกท่านพญานาคอีกสักครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบเห็นอีกเลย”
รูปเหมือนหลวงปู่สังข์ ฐิตธัมโม วัดบ้านท่าช้าง ศิษย์เอกหลวงปู่รอด วัดทุ่งศรีเมือง (ภาพจาก: www.uauction4.uamulet.com)
หลวงปู่สังข์ ฐิตธมโม วัดบ้านท่าช้างใหญ่ จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันอายุ 97 ปี (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว: Admin) เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้พบเห็นพญานาค โดยพบเห็นขณะเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่ดีโลด (พระครูวิโรจน์รัตโนบล) วัดทุ่งศรีเมือง ท่านเล่าว่า
“สมัยปู่เป็นเณรอยู่กับคุณอาจารย์พ่อถ่าน (พ่อท่าน) ดีโลด ท่านถามอาตมาครั้งหนึ่งว่า เรณเชื่อว่าพญานาคมีจริงไหม ตอบท่านว่าเชื่อขอรับ ท่านถามอีกว่า เคยเห็นไหม ตอบท่านว่าไม่เคยเห็น ท่านถามต่อไปว่าอยากเห็นไหม ตอบท่านว่าอยาก ต่อมาได้ไปทำงานอยู่กับท่านข้างสระน้ำในวัดทุ่งฯ (สระที่มีสิมโบราณกลางน้ำ ซึ่งทุกวันนี้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้แล้ว) กำลังเพลินๆ ท่านก็เรียกให้ดูอะไรที่กลางสระ ปู่เองยังเป็นเณรน้อยตกใจกลัวจนแทบจะคุมสติไม่อยู่ ดีแต่ว่าคุณอาจารย์ท่านปลอบเอาไว้ว่าอย่ากลัวให้ดูเฉยๆ ท่านพญานาคไม่ทำอะไรหรอก ที่ปู่ได้เห็นนั้นเป็นงูขนาดใหญ่ หงอนแดง ลำตัวเขียว ตาแดง ชูคออยู่กลางน้ำ ท่าทางไม่ดุร้ายอะไร ดูๆ ไปเหมือนจะมาแสดงสักการะคุณอาจารย์ พักใหญ่ๆ ก็มุดน้ำหายไป”
หลวงปู่ดีโลด หรือพระครูวิโรจน์รัตโนบล วัดทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี ท่านนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าพญานาคหลายวาระ ซึ่งจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เกิดขึ้นที่ปากเซ ซึ่งไหลตกแม่น้ำมูล (เซ ก็คือ ห้วย) ปัจจุบันนี้เป็นวัดดอนลังกา อยู่ในเขตอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี
เรื่องนี้พ่อถ่านมายเป็นผู้เป็นเล่าให้ฟังในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนลังกาจนมรณภาพไปเมื่องประมาณปี พ.ศ. 2541-2542
ท่านเล่าว่า สมัยนั้นท่านเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่ดีโลดที่วัดทุ่งฯ ชาวบ้านดอนลังกาพากันมานิมนต์หลวงปู่โลดดีโลดให้ไปแก้อาถรรพณ์ที่ปากเซนั้น เพราะว่าชาวบ้านเขากลัวด้วยมีคนตายกันมาก คือใครหลงพายเรือเข้าไปบริเวณเวิ้งน้ำตรงปากเซ มักจะประสบเหตุมีลมพัดหมุนขึ้นมาจากใต้น้ำ และดูดเอาเรือจมลง คนก็หายลงไปในน้ำถึงขนาดหาศพไม่เจอ บริเวณนี้มักจะมีเสียงฆ้องกล้องมโหรีดังขึ้นเสมอทุกวันพระ จนชาวบ้านยุคหลังไม่กล้าเข้าไปหาปลาบริเวณนั้น เดือดร้อนถึงกับมาขอพึ่งหลวงปู่ดีโลดช่วยแก้
พ่อถ่านมายเล่าต่อไปว่า ได้ติดตามท่านมาทำพิธีที่นั่นด้วย เห็นท่านเอาเรือออกไปกลางเวิ้งน้ำปากเซ ทิ้งก้อนหินลงปในน้ำ 3 ก้อน แล้วเอาเรือกลับเข้าฝั่ง ต่อมาสถานที่นั้นก็สงปลอดภัย
ภายหลังหลวงปู่ดีโลดได้สั่งพ่อถ่านมายเอาไว้ว่า เหล่าพญานาคที่นั่นอาศัยบริเวณนั้นเป็นทางขึ้นลง เมื่อเราไปขอเขาให้เว้นชีวิตผู้คน เขาก็ขอให้เราสร้างอนุสรรืสถานสักอย่างหนึ่งตรงปากทางขึ้นลง ซึ่งอยู่บนฝั่งปากเซนั้น (ท่านบอกตำแหน่งไว้ด้วย) แต่ท่านจะไม่สร้าง ต่อไปภายหน้าจะมีผู้มาสร้างให้เอง ถึงเวลานั้นจะรู้ว่าเป็นใคร
หลวงปู่ดีโลดสั่งพ่อถ่านมายเอาไว้เหมือนว่าจะรู้พ่อถ่านมายจะได้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ตรงนี้ในอนาคต
ภาพจาก: www.sanook.com
ปัจจุบันอนุสรณ์สถานนี้ได้สร้างสำเร็จแล้วเมื่อประมาณปี 2529 โดยท่านเดชโอภาส ซึ่งพ่อถ่านมายบอกว่า ท่านผุ้นี้เป็นเชื้อสายพญานาค และท่านผู้นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย และมีเรื่องราวพิสดารจนยากลำบากที่จะเขียนถึง แต่ก็จะเขียนในไม่กี่ฉบับข้างหน้า ซึ่งจะต้องขอความกรุณาผู้อ่านไว้ล่วงหน้าว่าโปรดทำใจเป็นกลางๆ เมื่อได้อ่านเรื่องของท่านเดชโอภาสด้วย
ท่านเดชโอภาส ได้เล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟังว่า สมัยที่ท่านมีอายุประมาณ 8 ขวบ ได้บังเกิดความฝันแปลกประหลาด ซึ่งฝันนั้นยังตราตรึงอยู่จนทุกวันนี้โดยไม่เคยลืมเลือน
ฝันว่าได้พบกับชีปะขาวท่านหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ มีอายุประมาณ 70 กว่าปี หนวดเคราสีขาวยาว ผมขาวยาวถึงก้น ท่าทางใจดี ได้พาท่านเดชโอภาสไปที่ถ้ำแห่งหนึ่ง เป็นถ้ำกว้างใหญ่ มีหินงอกหินย้อยสีขาวเปล่งประกายแวววับ จากนั้นชีปะขาวได้บอกว่า ตัวท่านคือ พญาอนันตนาคราช เป็นต้นกำเนิดของเหล่าพญานาคทั่วสากลภพ ปกครองภูมิภพแห่งนาคทั้งหมด ในอดีตชาตินานมาแล้วท่านเป็นแค่งูธรรมดาทั่วไปที่ชาวโลกเรียกว่า งูทิบสมิงคลา (งูสามเหลี่ยม) แต่ด้วยบุญวาสนาที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดและได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตัณหังกร (พระพุทธเจ้าองค์แรกที่อุบัติขึ้นในโลก) ท่านนำคำสอนของพระองค์มาปกิบัติจนสิ้นอายุขัย และด้วยอำนาจธรรมที่ปฏิบัตินั้นดลให้มาเกิดในภพภูมิชั้นภุมมานัง มีร่างเป็นทิพย์ มีฤทธิ์อำนาจไม่ต่างจากเทวดาทั้งมวล และด้วยอำนาจที่มีนั้น ท่านได้สร้างเผ่าพันธ์ของนาคราชขึ้นมา และเนรมิตภูมิที่อยู่ของเหล่านาคราชที่พวกเราเรียกว่า นาคพิภพ หรือเมืองบาดาล เหตุที่ท่านมาหานี้ก็เพื่อจะให้ท่านเดชโอภาสบอกกล่าวเล่าเตือนเพื่อนมนุษย์ให้หยุดลบหลู่พญานาค อย่าทำลาย หรือสร้างความสกปรกหมกเหม็นตามต้นน้ำลำธาร อันเปรียบเสมือนประตูเชื่อมพิภพทั้งสอง (คือ พิภพนาคและพิภพมนุษย์) ด้วยสองพิภพนี้ซ้อนกันอยู่อย่างใกล้ชิดที่สุด และในเวลานี้พญานาคมีมากมายหลายเผ่าพันธ์ มีทั้งดุร้ายและเอื้ออารีมีศีลธรรม ท่านเองไม่สามารถจะควบคุมได้หมด เพราะเวลานี้ท่านอยู่ชั้นพรหมโลกแล้ว จึงมาบอกกล่าวให้ฟัง กลัวว่าภายภาคหน้ามนุษย์จะได้รับอันตรายจากฤทธิ์เดชของเหล่าพญานาค
ความฝันนี้ท่านเดชโอภาสได้เล่าให้ครูบาอาจารย์หลายองค์ฟัง เช่น หลวงปู่คำคนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงปู่กิ วัดสนามชัย หลวงพ่อสมาน ที่อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเจ้าคุณแก้ว เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม หลวงพ่อดี ตาบอด ที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม และหลวงปู่คำพันธ์ ซึ่งครูบาอาจารย์ที่กล่าวนามมานี้รับรองความฝันนี้ว่าจริง
ภาพจาก: ร้านบารมีบรมครูปู่ฤาษี-พญานาคราช
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งท่านเดชโอภาสได้เล่าให้ฟังซึ่งน่าสนใจมาก จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “พญานาคเปลี่ยนชะตาให้ดินกลายเป็นดาว”
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สลัมคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อประมาณ 17 ปีที่ผ่านมา
หญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า นางหงส์ เป็นชาวอุดรธานี หลังจากพ่อแม่แยกทางกัน เธอกับน้องชายได้ไปอาศัยอยู่กับป้าที่อำเภอหนองบัวลำภู (ปัจจุบันเป็นจังหวัด) ซึ่งห้วงเวลานั้นเธอมีอายุเพียง 10 ขวบ ชีวิตตกอับ รันทดจนสุดพรรณา เมื่อไปอยู่กับป้าก็ไม่ได้เรียนหนังสือ หนำซ้ำยังถูกใช้งานเยี่ยงทาส ข้าวน้ำได้กินมั่งไม่ได้กินมั่ง เธอและน้องชายทนทุกข์อยู่จนอายุ 13 ขวบ ป้าจึงส่งเธอมาเป็นคนรับใช้ในบ้านหลังหนึ่งแถบสลัมคลองเตย ส่วนน้องชายไปหางานทำที่จังหวัดอุดรธานี
เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ ชะตาชีวิตก็หาได้ดีขึ้นไม่ เงินเดือนทุกเดือนทุกบาททุกสตางค์จะถูกส่งไปให้ป้าที่อำเภอหนองบัวลำภูทั้งหมด เธอแค่ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้น
ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับนางหงส์ จะเรียกว่าวิบากกรรมซ้ำซัดก็ได้ ในขณะที่เธอกลับจากซื้อของในวันหนึ่ง วัยรุ่นขี้ยาคนหนึ่งดักอยู่กลางทางและลากตัวเธอไปข่มขืน ไอ้ขี้ยาขู่เธอว่าถ้าบอกใครมันจะกลับมาฆ่าให้ตาย ความกลัวบวกกับความอาย เธอจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไอ้ขี้ยายิ่งได้ใจ หวนกลับมาข่มขืนเธอถึงในบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเจ้าของบ้านจับได้ และเข้าใจว่าเธอแอบนัดผู้ชายเข้ามานอนในบ้าน โกรธจัดไม่ฟังเหตุฟังผล ไล่เธอออกจากยบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา เธอไม่มีที่ไป ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ไม่เคยออกไปไหน ไม่รู้หนทางในกรุงเทพฯ เธอจำใจซมซานไปหาไอ้ขี้ยาถึงที่บ้านของมันขอความช่วยเหลือ
เคราะห์กรรมก็ยังไม่หมด ไอ้ขี้ยาให้เธออาศัยอยู่ในบ้านของมัน และนับแต่นั้นเธอก็กลับเป็นทาสอีกครั้ง
เธออยู่ในภาวะจำใจ ไม่มีที่ไป ต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ทั้งพ่อแม่ไอ้ขี้ยา และทุกคนในบ้านข่มเหง ดุด่า ใช้งานเหมือนทาสในเรือนเบี้ย บางวันไอ้ขี้ยาก็ทุบตีอีกด้วย
และแล้วเหตุการณ์อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คงจะเป็นด้วยกรรมเวรของเธอหมดลงไปแล้ว
เย็นวันหนึ่งเธอกำลังหอบหิ้วของเดินย่ำอยู่บนสะพานไม้ที่มีน้ำท่วม (น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา) ปรากฏงูประหลาดตัวหนึ่งเลื้อยมาอย่างรวดเร็ว เป็นงูสีทองทั้งตัว ยาวประมาณ 1 เมตร ลำตัวขนาดลำไม้ไผ่ ฉกกัดที่เท้าของเธอจนถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้ววิ่งหนีไปจนถึงบ้านและบอกไอ้ขี้ยาสามีว่าโดนงูอะไรไม่รู้กัดปวดแสบปวดร้อนที่สุด
แทนที่ไอ้ขี้ยาจะเห็นใจช่วยเหลือกลับด่าซ้ำและแช่งว่าให้ถึงตายอย่างทุกข์ทรมานไปเลยจะได้พ้นหูพ้นตากู
นางหงส์เจ็บปวดหัวใจจนน้ำตานองหน้า เดินเข้าห้องทิ้งตัวลงนอนแล้วพูดกับตัวเอง “ตายเสียเถิด จะได้พ้นทุกข์ทรมานเสียที” จากนั้นก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แล้วก็ฝัน
มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นบอกกับเธอว่า ท่านคือพญานาคเสน ได้รับบัญชาจากพญาศรีสุทโธนาคราชให้มาช่วยเหลือ เธอได้ย้อนถามว่าช่วยเหลืออะไร พญานาคเสนตอบว่าได้ช่วยไปแล้วเมื่อตอนเย็นวันนี้ ท่านได้ให้อำนาจพิเศษแก่นางหงส์ แต่เธอกลับตกใจวิ่งหนี เธอจึงกล่าวว่า งั้นท่านก็คืองูสีทองตัวนั้น พญานาคเสนได้อธิบายว่า ตัวท่านเป็นพญานาคอยู่ประจำแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่งูธรรมดา ถ้าไม่เชื่อ พรุ่งนี้ตอนเช้าจะมาให้เห็นอีก แต่ห้ามบอกใคร ให้ไปที่เก่าเพียงคนเดียว
รุ่งเช้าของวันใหม่ ชีวิตใหม่ก็อุบัติขึ้น
ทุกคนในบ้านรวมทั้งสามีตัวแสบมีพฤติกรรมประหลาดเกิดขึ้น ทุกคนเข้ามาแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใย และเห็นใจเธออย่างแปลกประหลาด เหมือนหน้ามือกลับเป็นหลังมือในชั่วคืนเดียว
หลังจากทุกคนออกไปทำงานนอกบ้านกันหมดแล้ว นางหงส์ได้ย้อนกลับไปตรงที่เกิดเหตุโดนงูกัดอีกครั้งหนึ่ง เธอถึงกับเกิดอัศจรรย์ใจเมื่อพบงูสีทองตัวเดิมลอยเลื้อยไปมาอย่างเห็นได้ชัดอยู่นาน 10 นาที จึงมุดน้ำหายไป
เย็นวันนั้น เมื่อทุกคนกลับมาพร้อมหน้ากันที่บ้านแล้วจึงทราบว่า พ่อสามีซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทของคุณอาทิ บูรณสมภพ ซึ่งเป็นอู่เรือที่มีโกดังเก็บสินค้ามูลค่านับ 10 ล้านบาท นำเข้ามาจากต่างประเทศ สินค้าเหล่านั้นหายไป และพ่อสามีถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะมีส่วนร่วมในการขโมยด้วย จึงวิตกเป็นทุกข์กลัวจะถูกตำรวจจับ
จู่ๆ นางหงส์ก็บอกว่าไม่ต้องวิตก ไม่ต้องกลัว ของที่หายไปยังอยู่ ไม่ไปไหน แต่อยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลนัก ทั้งยังบอกชื่อคนลักของได้ทั้งหมดว่ามีใครบ้าง พ่อสามีถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อสามีนำตัวเธอไปพบกับคุณอาทิ บูรณสมภพ ให้เล่าเรื่องของที่หายให้คุณอาทิฟังทั้งหมด
คุณอาทิ เป็นมหาเศรษฐี มีความรู้ระดับปริญญาโทจากต่างประเทศ แม้จะไม่เชื่อที่นางหงส์บอก แต่ก็ยอมโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพื่อให้ไปตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว รวมทั้งแจ้งชื่อผู้ต้องสงสัยด้วย
ปรากฏว่าทุกสิ่งเป็นจริงตามที่นางหงส์บอกทุกประการ คุณอาทิ ถึงกับยกมือไหว้นางหงส์ด้วยความเลื่อมใส และรับนางหงส์เข้ามาทำงานเป็นเลขาฯ ส่วนตัว และอยู่ในฐานะที่ปรึกษาสำคัญ คล้ายๆ กับที่อดีตนายกฯ ทักษิณจ้างหมอดูอีทีเดือนละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นที่ปรึกษาทำนองนั้น
ต่อมาคุณอาทิทราบเรื่องชีวิตรันทดของนางหงส์ ก็เกิดความสงสารเห็นอกเห็นใจ จนยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งซื้อชีวิตนางหงส์ออกมาจากครอบครัวของไอ้ขี้ยา และซื้อบ้านหลังงามใหญ่ให้อยู่ พร้อมกับจ้างคนรับใช้ส่วนตัวให้คอยรับใช้นางหงส์ด้วย
นี่คือการพลิกชะตาจากยาจกเข็ญใจกลายเป็นท้าวพระยาในข้ามคืน
ท่านเดชโอภาสยืนยันว่า ทราบเรื่องนี้จากปากนางหงส์ ขณะที่นางหงส์มากราบหลวงปู่คำพันธ์พร้อมกับคุณอาทิ และเคยพบปะสนทนากับนางหงส์ 2 ครั้ง
ทุกวันนี้ คุณอาทิ บูรณสมภพ เสียชีวิตแล้ว แต่นางหงส์จะยังอยู่ที่เดิมหรืออยู่ที่ไหนไม่ทราบ หากนางหงส์ได้อ่านเรื่องนี้ ขอให้ติดต่อมาที่ผมด้วย หมายเลขโทรศัพท์ 081-9770207 เพื่อผมจะได้ให้เบอร์โทรฯ ของท่านเดชโอภาส เพราะท่านเดชโอภาสอยากพบปะพูดคุยธุระกับนางหงส์อีก ซึ่งนางหงส์คงทราบดีว่าเป็นเรื่องอะไร
หากนางหงส์ไม่ได้อ่านเรื่องนี้ คนอื่นที่รู้จักกับนางหงส์ได้อ่านเข้าแล้ว กรุณาบอกนางหงส์ด้วย
ขอขอบพระคุณไว้ล่วงหน้า