พระอาจารย์อิฏฐ์ วัดจุฬามณี
บทความที่ผมนำมาเสนอต่อท่านผู้อ่านนี้ เป็นบทความเก่าที่เคยลงในนิตยสารพระเครื่องลานโพธิ์ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะประมาณ พ.ศ. 2537 ก่อนที่จะลงเรื่องราวต่างๆ ผมขอเล่าที่มาพอสังเขปก่อนนะครับ
เมื่อผมเปิดเว็บราชันดำ (www.rachandam.com) เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณขององค์จตุคามรามเทพ ผมก็มีความตั้งใจว่าจะนำบทความเกี่ยวกับวัตถุมงคลและเกจิอาจารย์ที่ผมเคารพศรัทธา ที่ผมเคยเขียนลงในนิตยสารพระเครื่องต่างๆ มาลงในเว็บนี้ เพื่อเสนอต่อผู้สนใจทุกท่าน
ปรากฎว่าเกิดปัญหา คือ หนังสือลานโพธิ์ที่เคยเก็บไว้เกิดสูญหายไปบ้าง ปลวกขึ้นบ้าง จึงต้องทิ้งไปหมด ที่สำคัญคือ บทความที่ลงในหนังสือลานโพธิ์นั้นมีจำนวนมาก ทั้งเรื่องหลวงปู่ทวดทุกรุ่นทุกวัด เรื่องหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง และเรื่องของท่านอาจารย์อิฏฐ์ วัดจุฬามณี
ผู้เขียนจึงพยายามสอบถามจากพรรคพวกที่เคยเก็บหนังสือลานโพธิ์ยุคเก่า เขาก็พยายามหาให้ ก็ได้เรื่องหลวงปู่ทวดบางตอน หลวงปู่ทองดำนิดหน่อย แต่ของท่านอาจารย์อิฎฐ์ไม่ได้เลย ที่ต้องค้นหาก็คือต้นฉบับที่เก็บไว้ เพราะเวลาส่งต้นฉบับ ผมจะใช้วิธีถ่ายเอกสารและเก็บตัวจริงไว้ แต่ก็คิดว่าคงหายไปหมดแล้ว
จนกระทั่งเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ผมได้ค้นหาเอกสารตามแฟ้มต่างๆ ปรากฏว่ามีอยู่แฟ้มหนึ่งที่เห็นอยู่เป็นประจำ มีเอกสารใส่อยู่ค่อนข้างหนา ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยได้เปิดดู ถ้าเปิดก็เพียงแค่ด้านหน้าเล็กน้อยแล้วปิด เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เที่ยวนี้ผมไล่เปิดไปจนถึงตอนท้ายของแฟ้ม ปรากฏว่าได้พบต้นฉบับบทความของท่านอาจารย์อิฎฐ์ครบห้าตอน จึงนำมาเสนอต่อท่านผู้อ่านในโอกาสนี้
สุวัฒน์
20 มิถุนายน 2558
พระอาจารย์อิฏฐ์ ภทฺทจาโร วัดจุฬามณี อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
ตอนที่ 1
สมุทรสงคราม เป็นเมืองชายทะเลที่มีความสำคัญจังหวัดหนึ่งของไทย เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่ผลิตอาหารจากทะเล ทั้งปลาสด ปลาเค็ม น้ำปลา และเกลือ ตลอดไปจนถึงพืชผักผลไม้ ส่งไปเลี้ยงคนไทยทั่วประเทศ เมืองนี้เรายังรู้จักเรียกกันติดปากอีกชื่อหนึ่งว่า “แม่กลอง” คงเป็นเพราะเรียกตามชื่อของแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งไหลออกทะเล ณ บริเวณนี้
เมื่อพูดถึงแม่น้ำแม่กลอง ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นแม่น้ำสายสำคัญ ที่มีต้นกำเนิดในจังหวัดกาญจนบุรี ดินแดนแห่งสุดยอดพระเครื่องเนื้อตะกั่วสนิมแดง ที่เรารู้จักกันในนามของ “พระท่ากระดาน” ซึ่งถูกจัดอยู่ในไตรภาคีมหิทธิฤทธิ์ และได้รับการขนานนามว่า “ขุนศึกแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง” นั่นคือต้นทางแห่งแม่กลอง แต่ที่ผมจะกล่าวถึงเรื่องราวความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่ปลายทางของแม่น้ำสายนี้ นอกจากความอุดมสมบูรณ์แห่งข้าวปลาอาหารแล้ว แม่กลองก็ยังเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยเกจิอาจารย์ดัง เป็นศูนย์รวมแห่งสำนักพระเวทย์วิทยาคม ที่ได้รับการสืบทอดกันต่อมาอย่างไม่ขาดสาย พระอาจารย์ที่อุบัติขึ้นในแต่ละยุคล้วนโด่งดังได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนทั่วประเทศ ถ้าลองไล่เรียงกันดู ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านต้องทราบกิตติศัพท์ของแต่ละองค์ท่านเป็นอย่างดี ตั้งแต่หลวงพ่ออ่วม วัดไทร หลวงปู่อ้น วัดบางจาก หลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย หลวงพ่ออยู่ วัดบางน้อย หลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง หลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อโต วัดคู้ธรรมสถิตย์ หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ หลวงพ่อเจียง วัดเจริญสุขาราม หลวงพ่อไว วัดดาวดึงษ์ หลวงพ่อสาย วัดจันทร์เจริญสุข หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน หลวงพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่และโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ ก็คือ หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ
ทั้งหมดที่ผมกล่าวนามท่านมานี้ ผมเรียนท่านผู้อ่านเท่าที่จำได้ อาจจะมีตกหล่นไปบ้างก็คงไม่ว่ากันนะครับ เพราะเรื่องราวอภินิหารที่ผมจะเล่าให้ท่านฟังนั้น ไม่ใช่พระเกจิอาจารย์องค์หนึ่งองค์ใดที่กล่าวนามมาข้างต้น แต่เป็นเกจิอาจารย์ยุคปัจจุบัน ที่นับว่ามีอายุน้อยที่สุดในบรรดาเกจิอาจารย์ดัง ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงมาเขียนเรื่องราวของพระเกจิอาจารย์ที่มีอายุน้อย เพราะเกจิอาจารย์ทั่วไปมักมีแต่อายุมากๆ ทั้งนั้น เรื่องนี้ตอบได้ไม่ยาก ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยตามอายุนะสิครับ อันนี้เป็นการพิสูจน์ว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขได้เป็นอย่างดี เพราะผมเองรวมทั้งท่านผู้อ่านด้วยที่จะพบเห็นบ่อยๆ ว่า พระบางองค์บวชตั้งแต่หนุ่มจนแก่ แต่ไม่เป็นโล้เป็นพายก็มีถมเถไป
ว่ากันมาพอหอมปากหอมคอแล้ว คิดว่าท่านผู้อ่านคงอยากจะทราบว่า พระอาจารย์ที่ผมจะเสนอกิตติคุณ ปฏิปทา และความเข้มขลัง ต่อท่านผู้อ่านนั้นคือพระอาจารย์อะไร อยู่วัดไหน
ก็คงจะต้องบอกกล่าวกันเสียเลยว่า ท่านคือ “พระครูวินัยธรอิฏฐ์ ภทฺทจาโร” แห่งวัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม
เมื่อเอ่ยถึงวัดจุฬามณี เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะความโด่งดังของท่านหลวงพ่อเนื่อง เจ้าอาวาสองค์ก่อนนั่นเอง สำหรับกิตติศัพท์ความขลังของท่าน ผมคงไม่ต้องกล่าวซ้ำ แต่อยากพาท่านผู้อ่านได้มารู้จักกับเจ้าอาวาสองค์ใหม่ คือ ท่านอาจารย์อิฏฐ์ ภทฺทจาโร ได้รู้จักวัตถุมงคลที่ท่านสร้างได้ขลังตั้งแต่สมัยเป็นเณร รวมทั้งประวัติและประสบการณ์อันน่าทึ่ง
ความจริงผมไปกราบรู้จักท่านได้เพียง 4 – 5 เดือน ที่ผ่านมาเท่านั้น แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมต้องนำเรื่องราวของท่านมาเสนอต่อแฟนๆ ลานโพธิ์ เดี๋ยวจะหาว่าพบของดีแล้วไม่นำมาบอกเล่าเก้าสิบกันบ้าง ผมเชื่อว่าถ้าท่านผู้อ่านติดตามข้อเขียนของผมจนจบ ทุกท่านต้องอยากมีวัตถุมงคลของท่านอาจารย์อิฏฐ์ไว้บูชา เพื่อเป็นศิริมงคลเหมือนผมและลูกศิษย์อีกมากมายของท่าน ที่สัมผัสได้กับความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ในองค์ท่านเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ผมได้เริ่มรู้จักกับท่าน
ผมคงต้องย้อนไปเล่าความเป็นมาก่อนที่จะได้มารู้จักท่านให้ฟังสักเล็กน้อย เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าท่านมีพลังอำนาจพิเศษ คงต้องเริ่มตั้งแต่เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2536 ผมได้จัดผ้าป่าไปทอดที่วัดท่าทอง จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อทองดำเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ในการนี้ผมได้ขออนุญาตหลวงพ่อท่านสร้างพระกริ่งขึ้นจำนวน 140 องค์ เพื่อแบ่งปันไว้ใช้กันเองในหมู่ลูกศิษย์ โดยตั้งชื่อตามสมณศักดิ์ของหลวงพ่อว่า “พระกริ่งนิมมานโกวิท” ในครั้งนั้นเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่ง ได้เช่าไว้ 1 องค์ และเก็บไว้ที่บ้าน ในช่วงนี้เอง เพื่อนร่วมงานท่านนั้นไปกราบท่านอาจารย์อิฎฐ์หลายครั้ง ท่านอาจารย์จึงได้มอบ “พระกริ่งเทวบดี” เนื้อเงินให้ 1 องค์ พร้อมกับถามว่า พระกริ่งที่บ้านเป็นของหลวงพ่ออะไร ขอดูหน่อยได้ไหม เพื่อนร่วมงานผู้เขียนเล่าว่ารู้สึกงง เพราะไม่เคยบอกท่านเลยว่าได้เช่าพระกริ่งเก็บไว้ที่บ้าน แล้วท่านทราบได้อย่างไร ครั้งต่อไปจึงนำไปให้ท่านดู และกราบเรียนว่าผมเป็นคนสร้าง ท่านจึงถามว่ามีเหลืออีกหรือไม่ จะขอเช่า เพื่อนร่วมงานมาเล่าให้ผมฟังหลายครั้ง แต่ผมก็เฉยๆ เพราะทราบว่าท่านยังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่ ในใจจึงยังไม่รู้สึกศรัทธาเท่าไร แต่ก็นึกไว้ในใจว่าจะนำพระกริ่งนิมมานโกวิทไปถวายท่านหนึ่งองค์ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปสักที จนกระทั่งท่านฝากพระกริ่งเทวบดีที่ท่านสร้างเองมาให้ผม 1 องค์ ผมจึงหาโอกาสไปกราบท่าน และนำพระกริ่งหลวงพ่อทองดำไปถวายท่าน 1 องค์ และเมื่อไปถึง ผมก็ต้องสะดุ้งอยู่ในใจ เพราะว่าวัตถุมงคลหลักที่ท่านสร้างก็คือ ท้าวเวสสุวัณโณ ที่ผมกำลังเสาะหาอยู่พอดี ต้องเรียนเพิ่มเติมว่า ไม่ทราบมีอะไรมาดลใจให้ผมอยากได้รูปเคารพของท่านท้าวเวสสุวัณโณ ก่อนหน้าที่ผมจะมาพบท่านอาจารย์ ซึ่งผมเองไม่ทราบมาก่อนว่าท่านสร้างไว้หลายรุ่น และได้รับความนิยมจากลูกศิษย์ลูกหาอย่างมาก เพราะความขลังและความเชื่อมั่นในองค์อาจารย์นั่นเอง อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งมาก เมื่อพบว่าท่านอาจารย์ยังหนุ่มอยู่มาก แต่มีลูกศิษย์ตั้งแต่หนุ่มจนแก่เพียบ ถ้าอย่างนี้คงจะไม่ธรรมดาแล้วละมัง ใช่ครับท่านไม่ธรรมดา แต่มีอะไรพิเศษอยู่มาก ถ้าได้ไปสัมผัสแล้วผมเชื่อว่าทุกท่านจะเห็นด้วยกับผมเป็นแน่
แต่ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราวและประวัติของท่าน รวมทั้งแนะนำวัตถุมงคลของท่านทุกรุ่นนั้น ผมขอย้อนกลับมาพูดคุยกับท่านผู้อ่านถึงเรื่องของท่านท้าวเวสสุวัณโณเสียก่อน เวลาที่ผมเสนอเรื่องราวของท่านอาจารย์จะได้ต่อเนื่องกันไปเลย
ผมขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า แต่เดิมผมไม่รู้จักและไม่ได้สนใจวัตถุมงคลที่เป็นรูปท่านท้าวเวสสุวัณโณ เพราะที่พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นรูปยักษ์ จึงคิดว่าทำไมคนถึงบูชายักษ์ และทราบแต่เพียงว่าท่านเป็นเจ้าแห่งปีศาจ พูดง่ายๆ คือ เป็นเจ้าแห่งผีนั่นเอง ส่วนที่ผมอยากได้ก็เพื่อจะบูชาท่านไว้กันผี กันคุณไสยต่างๆ เพราะทราบพุทธคุณของท่านแค่นั้น แต่เมื่อได้ศึกษาประวัติท่านจากหนังสือและจากท่านอาจารย์อิฏฐ์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากท่านท้าวเวสสุวัณโณโดยตรงแล้ว ถึงทราบว่าท่านยังมีทีเด็ดอีกมากมาย ที่จะบันดาลให้กับผู้ที่เคารพบูชาท่าน ถ้าท่านติดตามต่อไปผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านจะต้องอยากบูชายักษ์องค์นี้แน่นอน
“ท้าวเวสสุวัณโณ” หรือที่พวกเรานิยมเรียกท่านสั้นๆ ว่า ท้าวเวสสุวัณ แต่เวลาจะเขียนให้ถูกต้องแล้วต้อมีคำว่า โณ ต่อท้ายด้วย ส่วนใหญ่แล้วยังเขียนกันไม่ถูก
ประวัติของท่านตามบันทึกในศาสนาฮินดู ท้าวเวสสุวัณโณ คือ “เทพกุเวร” ท่านเป็นบุตรของฤาษีรัสรวัส ชื่อในภาษาสันสกฤตคือ ไวศรวรรณ ในภาษาบาลีคือ เวสสวัณ
เทพกุเวร เป็นเทพที่มีความอุตสาหะในการบำเพ็ญเพียรและทำกุศล ใช้เวลาในการทำความดีหลายพันปี พระพรหมจึงตั้งให้เทพกุเวรเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ซึ่งตรงกับ “ชมภละ” ในศาสนพุทธลัทธิมหายาน และเทพเจ้าพลูตอน ( PLOU TON ) ของกรีก ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ที่มีพราหมณ์หรือฮินดูเข้ามาปนมากๆ ก็ถือว่าเทพกุเวรหรือท่านท้าวเวสสุวัณโณเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง และได้รับการยกย่องบูชาจากพ่อค้าวานิช ที่หวังให้ท่านบันดาลความร่ำรวยให้ อันเนื่องมาจากความเป็นเทพแห่งความมั่งคั่งนั่นเอง
ในรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านที่มีบันทึกไว้ เท่าที่ผมพอจะเสาะหาได้จากหนังสือต่างๆ จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป ผมจึงสรุปรวมรวมตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่มีประวัติที่น่าสนใจอีกตอนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นประวัติที่แท้จริงและใกล้เคียงที่สุด เพราะเป็นประวัติที่ท่านเล่าถ่ายทอดผ่านมายังท่านอาจารย์อิฏฐ์ ซึ่งเมื่อท่านติดตามแล้วจะพบว่า บารมีของท่านยิ่งใหญ่ หาใครเทียบยาก จึงขอเชิญท่านผู้อ่านรับฟังเรื่องราวของท่านดังต่อไปนี้
ท้าวเวสสุวัณโณ นามเดิมว่า กุเวร เกิดในตระกูลพราหมณ์ เรียกกันว่า กุเวรพราหมณ์ ณ บ้านกุเวร ชอบทำบุญทำกุศล ช่วยสร้างกุฏิวิหาร เจดีย์ บำเพ็ญประโยชน์ต่อประชาชนทั่วๆ ไป ที่บ้านมีโรงสีอยู่ 4 โรง แต่ละโรงสีข้าวให้กับบุคคลที่แตกต่างกันออกไป คือ
โรงที่ 1 สีข้าวให้กับสมณชีพราหมณ์
โรงที่ 2 สีข้าวให้กับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
โรงที่ 3 สีข้าวให้กับขอทาน
โรงที่ 4 สีข้าวให้กับบริวาร
ด้วยความเป็นผู้ใจบุญสุนทาน ชอบทำกุศลนั่นเอง เมื่อตายไปจึงเกิดเป็นกุเวรเทพบุตร หรือท้าวกุเวร มีความมั่งคั่งร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง มีใจเป็นกุศล มีความอุตสาหบำเพ็ญเพียร ท่านท้าวมหาพรหมธาดา ชินบัญชร จึงเกิดความเมตตา ให้พรกับกุเวรเทพบุตร ให้มีกายเป็นสีทอง เป็นเทพรูปงาม มีความหนุ่มอยู่เสมอ ไม่แก่ และสอนคาถาอาคมให้ จากนั้นจึงได้ไปเรียนอิทธิฤทธิ์จากพระอิศวร มีฤทธิ์มากจนเป็นหัวหน้าแห่งยักษ์ทั้งปวง เมื่อเทพประจำทิศอุดร (เหนือ) ว่างลง จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้าประจำทิศอุดร หนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เนื่องจากมีความเก่งกล้าสามารถ จึงต้องมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายหลายอย่าง ตำแหน่างที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ เป็นนายทวารบาลของสวรรค์ ถึง 3 ชั้นด้วยกัน คือ
ชั้นที่ 1 จตุมหาราชิก ในชั้นนี้มีหน้าที่เป็นยักษ์ทรงภูษาเขียว
ชั้นที่ 2 ดาวดึงษ์ มีหน้าที่เป็นเทพบุตร ทรงภูษาแดง
ชั้นที่ 3 ยามา มีใบหน้าเป็นเทพบุตร ทรงภูษาทอง
สวรรค์ทั้งหมดมี 7 ชั้น แต่ท่านท้าวเวสสุวัณโณองค์เดียวควบคุมถึง 3 ชั้น จึงจำเป็นต้องมีลูกมือไว้คอยช่วยเหลือในภาคสวรรค์นี้ถึง 32 องค์ ท่านมีหน้าที่จัดส่งผู้ที่ถึงแก่ความตายไปยังที่ต่างๆ ตามกรรมของแต่ละคนที่ทำมา ถ้าทำดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าเลย 3 ชั้นนี้ ท่านจะส่งต่อ ถ้าทำไม่ดีก็จะส่งลงนรกไป ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งปวง มีหน้าที่คุมบัญชีเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
ทีนี้ขอกลับมาคุยกับท่านผู้อ่านถึงเรื่องหน้าตาของท่านสักหน่อย ตามที่ผมเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าท่านเป็นเทพรูปงาม มีกายสีทอง หนุ่มอยู่เสมอ แต่ทำไมเราจึงเห็นเขาสร้างรูปท่านมีหน้าตาเป็นยักษ์ ที่เป็นเช่นนี้มิใช่เพราะว่าท่านเป็นเจ้าแห่งยักษ์ แต่มีสาเหตุครับ เรื่องมีอยู่ว่า บนสวรรค์เขามีเทวสภา ถึงเวลาต้องมีการประชุมกัน เพื่อรายงานผลงานของเทพแต่ละองค์ และแก้ไขปัญหาของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ในบรรดาเทวดาบนสวรรค์นั้นจะมีนางอัปสรติดตามปรนนิบัติตามสิทธิ์ 500 องค์ ต่อเทวดา 1 องค์ นี่ถ้าเป็นมนุษย์คงถูกค่อนขอดแย่ แต่เป็นเทวดาซึ่งทำบุญกุศลมามากจึงได้สิทธิพิเศษ ในการเข้าร่วมประชุมของท่านท้าวเวสสุวัณโณในครั้งแรกนั้นเอง ก็เกิดเหตุอลเวงกันขึ้นทั่วเทวสภา เพราะท่านเป็นเทพรูปหล่อ ผิวสีทอง รบเก่ง แถมรวยอีกต่างหาก ส่วนเทวดาองค์อื่นๆ ล้วนแก่ๆ ทั้งนั้น นางอัปสรที่ติดตามเทวดาทั้งหลายนับพันๆ องค์ จึงเกิดปิ๊งท่าน และกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ ทำให้เกิดโกลาหลกันทั้งสวรรค์ เป็นธรรมดาครับ นางฟ้าก็ยังมีกิเลส ชอบเทวดาหล่อๆ เก่งๆ เหมือนๆ กับมนุษย์นั่นแหละ อย่างที่เขาพูดกันว่า สาวสวยผู้ชายติดกรอ ผู้ชายรูปหล่อสาวๆ ติดจม เมื่อนางฟ้าทั้งสวรรค์เกิดหลงใหลท่านท้าวเวสสุวัณโณกันมากมายขนาดนี้ ความวุ่นวายขายปลาช่อนจึงไม่หยุดอยู่แค่เทวสภา แต่นางฟ้าทั้งหลายยังตามไปชุลมุนยังวิมานของท่านชุดแล้วชุดเล่า พวกหนึ่งเหนื่อยก็กลับไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อน อีกพวกหนึ่งก็มาแทน พอเหนื่อยก็กลับ พวกที่หายเหนื่อยก็มาใหม่ ทำให้ท่านท้าวเวสสุวัณโณหาความสงบไม่ได้ จึงคิดหาทางแก้ปัญหาด้วยการเนรมิตหน้าตัวท่านเองให้เป็นยักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหยุดเหล่านางอัปสรพวกนั้นได้ เพราะท่านยังเป็นยักษ์ที่หนุ่มแน่น ร่ำรวย รบเก่ง เป็นยักษ์ที่น่ารักมีเสน่ห์
เห็นไหมครับว่าท่านยอดขนาดไหน ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องเมตตามหานิยมกันแล้วละก็ ขอบอกว่าขุนแผนยังต้องชิดซ้าย เพราะฉนั้นผู้ที่ต้องการพุทธคุณทางด้านนี้ บุชาท่านแล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอน
ท่านท้าวเวสสุวัณโณ นอกจากจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหัวหน้ายักษ์แล้ว ท่านยังได้สมญาว่าเป็นหัวหน้าและมีอำนาจเหนือภูติผีปีศาจอีกด้วย เรื่องมีอยู่ว่าบรรดาเหล่าอสูรหรือปีศาจทั้งหลายเกิดไม่พอใจพวกเทวดาขึ้นมา จึงพากันเดินขบวนไปรบกวนและแกล้งเทวดาอย่างหนัก เทวดาโมโห เลยระดมกำลังออกมารบกับพวกอสูรทั้งหลาย รบไปรบมาดันไปแพ้พวกผีเสียนี่ มิน่านางฟ้าถึงได้หนีหมด เมื่อสู้ผีไม่ได้จึงได้พากันไปเชิญท่านท้าวเวสสุวัณโณมารบกับเหล่าปีศาจ ท่านปราบพวกผีเกเรเสียราบคาบ จนยอมเป็นบริวารรับใช้ เมื่อผีเห็นท่านจะยอมศิโรราบ แต่ถ้าเป็นผีเกเรก็เผ่นกันกระเจิง ส่วนใหญ่แล้วผีทั้งหมดก็คือบริวารของท่าน เพราะฉนั้นถ้าใครเป็นลูกศิษย์หรือบูชาท่านท้าวเวสสุวัณโณแล้วผีก็จะไม่ทำอันตราย
เรื่องผีนี้มีข้อที่น่าสังเกตุคือ เราจะเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า ถนนตรงนั้น ถนนตรงนี้ มีผีสิง ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นก็เป็นทางธรรมดา ไม่ได้เป็นทางโค้งอันตราย และตรงไหนที่เกิดอุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ และมีคนตาย แถวนั้นก็มักจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำอยู่เสมอ ผมเคยคุยกับคนขับรถที่คว่ำลงข้างถนน เขาบอกว่าหักหลบเสือตัวใหญ่มากกระโดดใส่รถเขา บริเวณที่มีผีสิงเหล่านี้ ผีชอบแกล้งให้คนเกิดอุบัติเหตุ บางคนชะตายังไม่ถึงคาดแต่ต้องมาตายก่อน ผมเองก็ยังเคยเห็นหลายครั้งแล้วช่วงขับรถตอนกลางคืน จากพิษณุโลกไปอุตรดิตถ์ บางทีก็เห็นเด็กยืนยิ้มอยู่กลางถนน บางทีเห็นชาวนาใส่งอบถือเคียวนั่งขวางทางอยู่กลางถนน เผอิญสติผมค่อนข้างดีเวลาเผชิญเหตุการณ์อย่างนี้ผมจะไม่หักหลบ แต่ถ้าบางคนตกใจ รถอาจจะลงข้างทางและคว่ำได้ ผมจึงมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราบูชาท่านท้าวเวสสุวัณโณติดตัวหรือติดรถ ผีที่สิงตามที่ต่างๆ ก็ไม่กล้าทำอันตรายเราแน่ พุทธคุณอันนี้ก็คือแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุนั่นเอง อันนี้เป็นความคิดของผมเอง เพื่อความแน่ใจจึงกราบเรียนท่านอาจารย์ว่าเป็นไปได้ไหม ท่านบอกว่าเข้าใจถูกแล้ว ลักษณะเช่นนี้รวมถึงการไปยังสถานที่อื่นๆ เช่น บ้านผีสิง ถ้าเรามีท่านท้าวเวสสุวัณโณไปด้วยก็จะปลอดภัยจากอันตราย
ยังไม่หมดนะครับ สำหรับอิทธิบารมีของท่านท้าวเวสสุวัณโณ ท่านเป็น 1 ใน 4 ของจตุโลกบาล ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ เล่ากันว่า ในสมัยโบราณ มีบ้านเมืองหนึ่งโรคห่าลง ประชาชนล้มตายกันมากมาย พระราชาและเสนาบดีจึงประชุมกันหาทางแก้ไข โดบการบวงสรวงอัญเชิญให้ท่านท้าวเวสสุวัณโณเป็นประธานในจตุโลกบาล แล้วนำรูปของท่านท้าวเวสสุวัณโณไปตั้งไว้ทั้ง 4 ทิศ จากนั้นจึงทำพิธีสวดขับไล่โรคร้าย และถอนอาถรรพ์ตลอดจนคุณไสยต่างๆ ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า “การสวดภาณยักษ์” กล่าวกันว่า ถ้าทำถูกต้องตามพิธีกรรมและเข้มขลัง ผู้ที่เข้าร่วมพิธีถ้าถูกคุณไสยต่างๆ จะถูกถอนออกจนหมด จึงเชื่อกันว่าถ้ามีรูปท่านท้าวเวสสุวัณโณติดตัวแล้วจะปลอดภัยจากคุณไสยและการกระทำย่ำยีต่างๆ และถ้ามีรูปท่านบูชาไว้ในบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ คุณไสยและอาถรรพ์ต่างๆ จะไม่สามารถเข้าบ้านได้
อันเนื่องมาจากฝีมือการรบของท่านเก่งมาก เพราะฉนั้นผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านจึงไม่ต้องกลัวเรื่องมีด ปืนผาหน้าไม้ เพราะท่านจะคุ้มครองได้หมด จากที่ผ่านมา ปรากฏหลายครั้งแล้วว่าผู้ที่พกพาท่านท้าวเวสสุวัณโณติดตัวถูกยิงไม่เข้า
เห็นไหมครับท่านผู้อ่าน ว่าบารมีท่านเกรียงไกรขนาดไหน พุทธคุณของท่านครอบจักรวาลเลยทีเดียว ส่วนใหญ่เรานึกกันว่าท่านกันผีได้อย่างเดียว ใครจะไปนึกว่าหน้าตาเป็นยักษ์จะค้าขายดีด้วย แต่ในเรื่องนี้คนจีนเขาก็ทราบกัน และนิยมนับถือท่านท้าวเวสสุวัณโณในภาคจีน เรียกกันว่า “เงี่ยมล่ออ๋อง” หรือ “เงี่ยมล่ออ๊วง” หรือ “เทพเจ้าเจดีย์สวรรค์” มีเง็กเซียนฮ่องเต้เป็นหัวหน้า
จากที่เรียนท่านผู้อ่านมาทั้งหมด ผมอยากจะสรุปพุทธคุณของท่านท้าวเวสสุวัณโณ เพื่อให้เห็นเด่นชัดขึ้น คือ
1. ค้าขายดี
2. เมตตามหานิยม
3. แคล้วคลาด
4. ป้องกันภูติผีปีศาจ
5. ป้องกันคุณไสย การกระทำย่ำยีต่างๆ
6. ป้องกันมีด ปืนผาหน้าไม้ เป็นมหาอุตม์ คงกระพัน
เห็นพุทธคุณกันชัดๆ อย่างนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงนึกอยากมีท่านท้าวเวสสุวัณโณไว้บูชากันบ้างแล้วกระมัง และคงจะมีคำถามว่า แล้วจะไปหารูปท่านท้าวเวสสุวัณโณที่เจ๋งๆ อย่างที่ผมเล่ามาได้ที่ไหน เรื่องนี้ผมเตรียมคำตอบไว้แล้ว และท่านผู้อ่านก็คงพอจะเดาได้บ้างว่าผมคงจะแนะนำให้ท่านไปยังวัดจุฬามณี ใช่ครับ ท่านจะไม่ผิดหวังแน่ๆ เพราะที่นี่คือของจริง สร้างโดยอาจารย์ที่มีความเข้มขลังและมีพลังอำนาจพิเศษ ซึ่งในฉบับหน้า ผมจะเรียนเสนอเรื่องราวของท่านอาจารย์หนุ่มแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ผู้สร้างรูปเหมือนท่านท้าวเวสสุวัณโณอันลือลั่น และวัตถุมงคลที่เข้มขลังอีกมากมายหลายอย่าง
ผู้เขียน : สุวัฒน์ เหมอังกูร
ที่มา : www.rachandam.com