ตอนที่แล้วผมได้เรียนต่อท่านผู้อ่านถึงคุณวิเศษของท่านท้าวเวสสุวัณโณ ไว้อย่างชนิดหมดเปลือก ต่อจากนี้ไปผมจะเสนอเรื่องราวและวัตถุมงคลขององค์ผู้สร้างท่านท้าวเวสสุวัณโณที่เข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวเท่านั้นในยุคปัจจุบัน
พระครูวินัยธรอิฏฐ์ ภทฺทจาโร นามเดิม สมโภชน์ นามสกุล น้อยมา เกิดปีวอก พ.ศ. 2499 เป็นชาวอัมพวาโดยกำเนิด มีน้องสาว 2 คน เมื่อโยมแม่เสียชีวิต ขณะอายุได้ 9 ขวบ ท่านจึงเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ กับญาติ เพื่อเรียนนาฎศิลป์ที่ช่อง 7 สี อยู่ได้ 1 ปี ท่านพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่ทางที่ท่านต้องการ ประกอบกับไม่สามารถอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่กดดันได้ เนื่องจากท่านยังเด็กมาก จึงเดินทางกลับบ้าน และเดินเข้าเดินออกอยู่ในวัดบางกะพ้อมบ้าง วัดจุฬามณีบ้าง จนกลายเป็นลูกศิษย์วัดไปโดยปริยาย พออายุได้ 15 ปี จึงบวชเป็นสามเณร ณ วัดบางกะพ้อม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2514 และเริ่มต้นเขียนอักษรขอมกับหลวงพ่อปึก (พระครูสมุทรวิริยาภรณ์) วัดสวนหลวง อำเภออัมพวา
เมื่อจำพรรษาอยู่วัดบางกะพ้อมได้ 1 พรรษา ท่านหลวงพ่อเนื่อง (พระครูโกวิทสมุทรคุณ) จึงได้ชวนให้มาประจำอยู่วัดจุฬามณี ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดว่าท่านหลวงพ่อเนื่องคงทราบด้วยญาณของท่านเป็นแน่แท้ว่า สามเณรน้อยองค์นี้จะเจริญรุ่งเรือง มีวิชาอาคมขลัง เป็นกำลังสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน และสร้างความเจริญให้กับวัดจุฬามณีต่อไปในอนาคต ถึงได้ชักชวนให้ท่านมาอยู่ด้วยกัน และปัจจุบันท่านพระครูวินัยธรอิฏฐ์ ซึ่งต่อไปผมขอใช้คำแทนท่านว่า พระอาจารย์อิฏฐ์ ก็ไม่ได้ทำให้ท่านหลวงพ่อเนื่อง ซึ่งถึงจะละสังขารไปแล้วต้องผิดหวัง เพราะไม่ว่าสรรพวิชาการด้านวิทยาคมใดที่หลวงพ่อเนื่องทำได้ ท่านอาจารย์อิฏฐ์จะเรียนรู้และทำได้ทุกอย่างเหมือนกัน และยังสืบทอดการพัฒนาวัดต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่ออายุครบบวช ท่านหลวงพ่อเนื่องจึงจัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2520 โดยมี
พระครูโกวิทสมุทรคุณ (หลวงพ่อเนื่อง) เป็นอุปัชฌาย์
พระครูนิเทศสมุทรคุณ วัดเจริญสุขาราม กับพระครูสมุทรบรรณวัฒน์ วัดเจริญสุขาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระสมุทรสารโสภณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาว่า ภทฺทจาโร ซึ่งแปลว่า ผู้มีความเจริญ
ท่านอาจารย์อิฏฐ์ เป็นผู้ฝักใฝ่ในวิชาความรู้ ทางด้านปริยัติธรรมท่านศึกษาจนสอบได้นักธรรมเอก ทางด้านพระเวทย์วิทยาคม เริ่มต้นศึกษาวิชาการนี้ตั้งแต่สมัยเป็นเณร พยายามดั้นด้นไปกราบขอเรียนวิชากับอาจารย์ที่โด่งดังในยุคนั้นหลายท่านด้วยกัน ซึ่งผมขออนุญาตนำมากล่าวถึง คือ
1. หลวงพ่อไห วัดบางทะลุ จังหวัดเพชรบุรี สอนทำแหวนพิรอด
2. หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน วิชาตะกรุดไม้รวก
3. หลวงพ่อไท วัดไทรย้อย
4. หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร วิชาต่อกระดูก
5. หลวงพ่อบุญ วัดวังมะนาว ราชบุรี
6. หลวงพ่อขวัญ วัดโพระดก ราชบุรี
7. หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี
8. หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ ชลบุรี
9. หลวงพ่อพิณ วัดอุบลวนาราม ราชบุรี ยันต์หนุมาน
10. หลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง วิชายันต์นกคุ้ม
11. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม คาถาเสกธูป
12. หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี ให้ธาตุทั้งสี่
13. หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ชัยนาท สอนวิธีลงมีดหมอ
14. หลวงพ่อคลี่ วัดประชา
15. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง สมุทรสาคร
16. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
17. หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อยุธยา
18. หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
19. หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ให้วิชาไหม 5 สี
20. หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา
21. หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ
22. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยา
23. หลวงพ่อแผ่ว วัดโตนดหลวง
24. พระครูเมธีธรรมสาธก หลวงพ่อหนู
25. หลวงปู่มณี วัดกำพร้า วิชาตะกรุดไม้รวก
26. พระครูภาวนาวิริยาจารย์ (หลวงพ่อสุธรรม วัดเขาพระ เพชรบุรี) ศึกษาสมาธิ
ในเกจิอาจารย์ทั้งหมดที่ท่านไปกราบขอเรียนวิชานั้น บางองค์ก็ถ่ายทอดวิชาให้ บางองค์ก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาอะไรให้ ได้แต่บอกว่าท่านมีดีอยู่แล้วไม่ต้องเรียนก็ได้ ท่านจึงเพียรได้ไปกราบและสนทนาเฉยๆ สำหรับลำดับการไปไม่ได้จัดเรียงไว้ บางองค์ไปตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณร บางองค์ก็ไปตอนบวชเป็นพระแล้ว
ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดคือประวัติของท่านและอาจารย์ที่ท่านศึกษาวิชาอาคมด้วย ดูแล้วค่อนข้างจะสั้น โดยเฉพาะการเรียนวิชาอาคม ถึงแม้ว่าท่านจะไปกราบหลายอาจารย์ก็จริง แต่บางองาค์ก็ไม่ได้สอนวิชาให้ บางองค์ถึงสอนก็ไม่ได้เรียนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แล้วที่ท่านเก่งอยู่ในทุกวันนี้เกิดจากอะไร ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าท่นมีอะไรพิเศษอยู่ในองค์ท่าน แม้กระทั่งท่านหลวงพ่อเนื่อง ซึ่งท่านอยู่ด้วยก็ไม่ได้สอนวิชาให้เท่าไร แต่ท่านก็ทำได้เหมือนหลวงพ่อเนื่องทุกอย่าง เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน และท่านก็ไม่ได้บอก แต่ถ้าไปกราบพบท่านแล้วจะสัมผัสได้ถึงอำนาจแห่งบารมีของท่าน ไปสักครั้งหนึ่งแล้วก็อยากไปอีกเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ท่านพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่เอาใจใคร และไม่สนใจว่าใครจะจนจะรวย ไปถึงก็นั่งพับเพียบคุยกันหน้ากุฏิท่านทุกคน
ครั้งแรกๆ ที่ผมไปกราบท่าน ก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อพบว่าท่านเป็นพระหนุ่ม แต่ว่ามีลูกศิษย์มากมายทั้งหนุ่มสาวและคนแก่ จะมากราบพบท่านตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันดึก บางครั้งผมไปนั่งคุยกับท่านนานๆ ทุกคนก็นั่งเฝ้าอยู่ด้วยโดยไม่เบื่อ แม้ว่าท่านจะไม่พูดคุยด้วย พูดง่ายๆ ไม่ได้คุยก็ขอให้ได้นั่งเฝ้า ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาไปเฝ้าอะไรกัน บางทีไปพบท่านทำงานหลายอย่างยุ่งเหยิงไปหมด เดี๋ยวเดินไปโน่นที ไปนี่ที พวกเราก็นั่งคุยกันไป คุยกันเบาๆ เท่านั้น แต่ท่านเดินมาถึงพูดกับพวกเราเหมือนกับได้ยินว่าเราคุยกันเรื่องอะไร หนักๆ เข้าคุยกันในรถก่อนไปพบท่าน ท่านก็ได้ยิน บางทีออกจากวัดแล้วนินทากันในรถท่านก็ได้ยิน อย่างนี้พวกเราก็งงเหมือนกัน ตัวผมเองบางครั้งนึกจะถามอะไรท่าน แต่ยังไม่ทันถาม ท่านก็ตอบมาเสียก่อน หลายครั้งที่ผมเห็นว่า พระที่มีอายุพรรษามากบางองด์ก็มีตำแหน่งถึงเจ้าอาวาสเหมือนกัน จะให้ความเกรงอกเกรงใจท่านเป็นพิเศษ
ลูกศิษย์ท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยท่านหลวงพ่อเนื่องยังมีชีวิตอยู่ จะเรียกท่านว่า หลวงตาอิฏฐ์ ปัจจุบันหลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ และหลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ มักจะเรียกท่านว่าปู่อิฏฐ์ โดยเฉพาะกับหลวงพ่อเก๋ ท่านมีความสนิทสนมกันมาก มักจะไปในงานพิธีพุทธาภิเษกและปลุกเสกพระเครื่องด้วยกันเสมอ เมื่อพูดถึงเรื่องการปลุกเสกพระเครื่องในปัจจุบันนี้ แทบจะทุกงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานใหญ่ๆ จะต้องนิมนต์ท่านเข้าร่วมพิธีด้วยทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ท่านไม่ใช่พระหนุ่มธรรมดาๆ
คุณวิเศษของท่านอีกประการหนึ่งก็คือ การรู้เรื่องเคราะห์และดวงชะตาของลูกศิษย์ ถ้าไปกราบท่านแล้วลูกศิษย์คนใดดวงไม่ดี ท่านจะทักเอง ใครเคราะห์ไม่หนักมากท่านจะให้พระไปติดตัว หนือคล้องสายสิญจน์ให้ บางทีจะลาท่านกลับ ถ้าท่านบอกว่าอย่าเพิ่งกลับ จะไม่มีใครกล้ากลับเด็ดขาด จนกว่าท่านจะบอกว่ากลับได้ หรือกำหนดเวลาให้ เพราะเหล่าลูกศิษย์ทราบดีว่า เวลาที่ท่านบอกว่าไปได้คือเวลาที่ปลอดภัยจากเคราะห์ ที่ลูกศิษย์เชื่อถือและมั่นใจในเรื่องนี้กันมาก เพราะเคยมีเหตุเกิดขึ้น มีลูกศิษย์ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้มีนายตำรวจผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ไปกราบท่าน พูดคุยกันพักหนึ่งท่านจึงบอกว่า ห้ามไปไหน คืนนี้ให้นอนที่กุฏิท่าน อย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาด จากนั้นท่านได้ไปสรงน้ำ พอกลับออกมาไม่พบนายตำรวจผู้นั้น มีแต่เด็กวัดเดินเข้ามาบอกท่านว่า ตายเสียแล้ว ลูกศิษย์เล่าว่า ระหว่างที่ท่านอาจารย์ไปสรงน้ำ นายตำรวจผู้นั้นได้รับโทรศัพท์มือถือ แล้วผลุนผลันเดินลงจากกุฏิไป แต่ไม่มีรถ จึงขอยืมมอเตอร์ไซด์จากลูกศิษย์วัดแถวนั้นขี่ออกมานอกวัด พอถึงถนนใหญ่ก็ถูกรถชนตายคาที่ เพียงชั่วเวลาแค่ท่านอาจารย์ไปสรงน้ำเท่านั้น
อีกรายหนึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายท่านเอง ชอบยิงกระรอกตามสวนเป็นประจำ ท่านขอร้องให้เลิกหลายครั้งหลายหนก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จนกระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง ท่านอาจารย์ก็คงจะรู้ล่วงหน้า จึงเรียกให้มาอยู่ที่กุฏิท่านและสั่งไม่ให้ไปไหน เพื่อจะให้พ้นเวลามรณะ แต่พอท่านเผลอแค่ประเดี๊ยวเดียว ก็มีรถปิคอัพวิ่งเข้ามาตะโกนเรียกหลานชายท่านๆ ก็กระโดดขึ้นรถออกไปเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน มาชวนไปธุระที่ชะอำ ขณะนั้นเป็นเวลาหัวค่ำประมาณ 2 – 3 ทุ่ม เห็นจะได้ เมื่อรถเข้าเขตอำเภอเมืองเพชรบุรีแล้วเลี้ยวออกเส้นทางที่จะไปชะอำ เกิดเสียหลักพุ่งลงข้างทาง หัวรถปักลงไปในน้ำและโคลน เปิดประตูออกมาไม่ได้ จมน้ำตายทั้ง 3 คน เรื่องนี้เกิดก่อนที่ผมจะไปกราบรู้จักท่านเพียง 2 – 3 ว้นเท่านั้น
อีกเรื่องหนึ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้ หลายท่านอาจจะเคยได้อ่านหนังสือพิมพ์พบและยังพอจำได้ เรื่องมีอยู่ว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นคนแม่กลอง มีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี อาชีพก็คือปล่อยเงินกู้ ส่งบุตรชายไปเรียนต่อเมืองนอกจนจบดอกเตอร์กลับมา พ่อกับแม่จะออกรถใหม่ให้กับลูกชาย จึงไปกราบท่านอาจารย์เพื่อขอฤกษ์ออกรถใหม่ ท่านอาจารย์ดูฤกษ์เสร็จก็บอกกับสามีภรรยาคู่นั้นว่า ออกได้นะรถน่ะ แต่โยมไม่ได้นั่งหรอก แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ต่อมา 1 สัปดาห์ สองสามีภรรยานั้นก็ถูกบุกยิงตายทั้งคู่
เรื่องที่ผมเล่ามานี้เป็นเพียงหนังตัวอย่างเท่านั้น อภินิหารของท่านยังมีอีกมาก แต่ขออนุญาตเล่าแค่ 3 เรื่องก่อน เพื่อจะชี้ให้ท่านผู้อ่านทราบว่าท่านเป็นผู้มีญาณพิเศษ หยั่งรู้ชะตาของผู้เคราะห์ร้ายและผู้ที่จะถึงฆาตได้ราวกับท่านคือองค์ท่านท้าวเวสสุวัณโณ ผู้คุมชะตาชีวิตมนุษย์ฉะนั้น แต่เรื่องนี้ขอเรียนท่านผู้อ่านทุกท่านว่า ไม่ต้องไปถามท่านหรอก ท่านจะไม่บอก ถ้าไปกราบท่าน ท่านจะบอกเอง และบางทีท่านจะดำเนินการตามกรรมวิธีของท่าน เพื่อช่วยเหลือหรือผ่อนหนักให้เป็นเบา ส่วนผู้ที่จะถึงแก่ชีวิตนั้น ท่านบอกผมว่า ถ้าวีซ่าหมดอายุ ท่านท้าวเวสสุวัณโณบอกว่าไม่มีทางช่วยได้ ต้องปล่อยให้เขาตายไปตามเวลาของเขา แต่ถ้าผู้ใดชะตายังไม่ถึงฆาต แต่มีกรรมมาตัดรอน ท่านบอกว่าอย่างนี้พอช่วยได้ ตัวอย่างพวกนี้ได้แก่ พวกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต มีเป็นจำนวนมากที่ชะตายังไม่ถึงฆาต แต่ต้องตายก่อนเพราะมีกรรมมาตัดรอน กรรมที่ว่านี้อาจจะเป็นกรรมเมื่อชาติที่แล้ว หรือกรรมที่ก่อขึ้นในชาตินี้ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจึงถามท่านเข้าประเด็นเลยว่า ท่านอาจารย์รู้จักท่านท้าวเวสสุวัณโณได้อย่างไร ?
ท่านจึงเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาว่า ตอนท่านเริ่มรับตำแหน่งเจ้าอาวาสใหม่ๆ มีเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทำให้เกิดความเครียด ไม่อยากทานข้าว จึงลัมป่วยลง ต้องเข้าโรงพยาบาล โดยเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท 2 สลบไปครึ่งวัน ฝันว่าท่านท้าวเวสสุวัณโณไปเยี่ยมและช่วยรักษาให้ แต่มีข้อแม้ว่าให้อยู่โรงพยาบาลเกือบ 1 ปี เพื่อช่วยปฏิบัติภาระกิจให้ท่านอย่างหนึ่ง ซึ่งผมไม่ขอกล่าวถึง
เมื่อท่านหายกลับวัดแล้ว ก็สามารถติดต่อกับท่านท้าวเวสสุวัณโณได้โดยการจุดธูปอัญเชิญท่านมา ซึ่งท่านอาจารย์จะอัญเชิญท่านมาเนื่องในโอกาสสำคัญๆ เช่น การเททองสร้างพระ การทำพิธีพุทธาภิเษก งานประจำปีของวัด และการสวดภาณยักษ์ ในระยะแรกๆ ท่านมาบ่อย เพื่อแนะนำและสอนวิชาอาคมให้ รวมทั้งให้หาเครื่องไม้เครื่องมือไว้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ และอนุญาตให้ท่านอาจารย์สร้างรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ไว้ภายในบริเวณวัด เป็นรูปในภาคเทพบุตรนั่ง มือถือคันฉ่อง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปกราบไหว้บูชา ขอบารมีให้ท่านช่วยเหลือในด้านต่างๆ สำหรับรูปท่านในภาคนี้ ท่านไม่อนุญาตให้ใครสร้างที่ไหนมาก่อน ส่วนรูปในภาคยักษ์ก็มีอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นรูปย่อเข่าถือกระบองหล่อด้วยโลหะ รูปเคารพทั้งสององค์ มีลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนไปกราบไหว้ ขอให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องทุกข์ร้อนกันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคตินิยมของคนจีน เวลาดวงไม่ดีจะพากันไปกราบไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณโณ เพื่อขอพรต่อชีวิต
ขอบคุณภาพจาก https://www.sanook.com/travel/1429689/
นอกจากนี้ ผมยังมีความแปลกใจที่ในกุฏิของท่าน มีรูปเคารพเทพเจ้าของจีนอยู่มากมาย ทั้งเจ้าแม่กวนอิม โป๊ยเซียน รวมถึงรูปเคารพท่านท้าวเวสสุวัณโณ ภาคจีน (เงี่ยมล่ออ๋อง) บางครั้งผมเห็นท่านเขียนฮู้ (ยันต์จีน) หรือเสกกระดาษเงินกระดาษทองให้กับลูกศิษย์บางคนที่มาขอ จึงต้องไขข้อข้องใจด้วยการเรียนถามท่านว่า ไปศึกษามาจากไหน และ ทำไมท่านจึงนับถือเจ้าแม่กวนอิม ?
ท่านเล่าว่า เดิมไม่เคยเชื่อถือเรื่องเจ้า เรื่องเซียนเลย จนกระทั่งเมื่อประมาณ พ.ศ. 2520 ท่านเดินทางไปจันทบุรี พอกลับมาได้ 7 วัน ก็ป่วยเป็นไข้มาลาเรีย อาการหนักมาก จึงไปโรงพยาบาล หมอฉีดยาให้ก็ไม่หาย พระ เณร และลูกศิษย์จึงพาท่านกลับวัด ท่านนอนสลบไป 1 วัน ทุกคนพากันนึกว่าท่านไม่รอดแน่ เพราะนอนนิ่งไม่ไหวติง มีแต่ลมหายใจอ่อนๆ ในระหว่างที่ท่านสลบไปนั้นได้ฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมเสด็จมาพร้อมกับเซียน และมาช่วยรักษาท่านกันยกใหญ่ แล้วเจ้าแม่กวนอิมก็พาท่านไปเที่ยวยังที่ต่างๆ จากนั้นจึงพามาส่ง เมื่อท่านฟื้นขึ้นมาไข้ก็หายไปเฉยๆ นับจากนั้นท่านจึงนับถือเรื่องเจ้าเรื่องเซียน ภายหลังจึงไปหัดเขียนฮู้กับเจ้าที่ศาลเจ้าตั้วเนี้ย อยู่เขตท่าคา โดยเจ้าเข้าทรงสอนให้ ดังนั้นการสร้างวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ท่านจึงทำได้ทั้งทางไทยและทางจีน
ทั้งนี้ วัตถุมงคลของท่านสร้างทุกรุ่นจะเป็นที่นิยมของลูกศิษย์ลูกหา ประชาชนในท้องถิ่นและห่างไกลออกไป ทั้งชาวไทยและชาวจีน ต่างก็มาเสาะหาวัตถุมงคลของท่านตลอดเวลา เพราะนำไปบูชาแล้วได้ผล ค้าขายดีบ้าง แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายบ้าง บางคนประสบโชคลาภ จึงทำให้ท่านต้องสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะไม่ค่อยจะทันกับความต้องการของผู้ที่มาเสาะแสวงหา ซึ่งในฉบับหน้า ผมจะเอาวัตถุมงคลที่ท่านสร้างทุกรุ่น รวมทั้งประสบการณ์บางเรื่อง มาเสนอต่อท่านผู้อ่าน เผื่อว่าท่านจะเสาะหาไว้ใช้ หรือพบเห็นที่ไหนจะได้ไม่ปล่อยผ่านเลยไป
ผู้เขียน : สุวัฒน์ เหมอังกูร
ที่มา : www.rachandam.com