คำอธิบาย
กริ่งพระพุทธชินราช ภปร. กองทัพภาคที่ 3 จัดสร้าง ปี 2517 เนื้อนวโลหะ (กล่องเดิม)
- เนื้อนวโลหะ จำนวนสร้าง 10,000 องค์
- ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จเททอง
- สมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์ ร่วมพิธี
พระพุทธรูปพระพุทธชินราชจำลอง พระกริ่งพระพุทธชินราช ภ.ป.ร. และเหรียญทรงผนวช ปี 2517 กองทัพภาคที่ 3
วัตถุมงคลชุดนี้เป็นวัตถุมงคลที่พร้อมด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และพระมหากษัตริยาธิคุณ ครบถ้วนทุกด้าน เพราะมูลเหตุแห่งการสร้างดีเยี่ยม คือ สร้างเพื่อนำรายได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครที่ปฏิบัติหน้าที่ทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งหลายครั้งเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันซึ่งหน้า และหลายรายที่โชคร้ายต้องทุพพลภาพและเสียชีวิต สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ยิ่ง
และแม้ว่าหน่วยงานราชการต้นสังกัดจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ก็เป็นการช่วยเหลือในภายหลัง ซึ่งใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน จึงควรหาทุนสักก้อนไว้เป็นกองทุนสำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างทันท่วงทีที่เกิดเหตุ ดังนั้น พลเอกสำราญ แพทยกุล สมัยที่ยังครองยศพลโท และดำรงตำแหน่งแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 จึงดำเนินการหาทุนด้วยการจัดสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบพระพุทธชินราช เพราะเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นการหาทุน โดยขอพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานไว้ที่ผ้าทิพย์ของพระพุทธรูปที่จัดสร้าง และพระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงผนวช เพื่อเป็นแบบการจัดสร้างเหรียญ อีกทั้งได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารกรุงเทพ สาขาพิษณุโลก เสนอแนะให้เปิดบัญชีในนามของ “มูลนิธิพระบารมีปกเกล้า” เพื่อป้องกันคำครหาจากการดำเนินงาน ส่วนการจัดสร้างก็ให้หน่วยงานราชการเป็นผู้รับไปดำเนินการ คือ
เหรียญทุกประเภท และโลหะที่นำมาจัดสร้าง มอบให้กองกษาปณ์กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ดำเนินการ
ทางด้านพระพุทธรูป มอบให้ จ.ส.อ.ดร.ทวี บูรณเขตต์ ซึ่งขณะนั้นรับราชการฝ่ายการแผนที่กองทัพภาคที่ 3 รับไปดำเนินการ
ส่วนพระกริ่ง มอบให้ นายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างพระกริ่งในยุคนั้นเป็นผู้ดำเนินการ
จากนั้นยังได้รับเมตตาจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณจากทั่วประเทศในยุคนั้น จารอักขระแผ่นโลหะ และร่วมพิธีพุทธาภิเษก ที่จัดขึ้นถึง 2 ครั้ง จึงถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ควรแก่การบันทึกไว้เป็นอนุสรณ์ เพราะการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ สมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์ ทรงเมตตาเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษก โดยครั้งแรก พิธีพุทธาภิเษกแผ่นโลหะ ที่สมเด็จพระสังฆราช วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานในพิธี และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีเททอง ณ วัดสุทัศน์เทพวรารามแล้ว จึงมีพิธีพุทธาภิเษกองค์พระที่หล่อเสร็จ โดยสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นองค์ประธานในพิธี ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก
ซึ่งด้วยเจตนาอันเป็นกุศลที่แท้จริง ปรากฎว่าประชาชนต่างให้ความสนใจในการร่วมสร้างกุศลด้วยการบูชาวัตถุมงคลรุ่นนี้ ทำให้มีเงินจัดตั้งเป็นมูลนิธิดังกล่าวข้างต้น 20 ล้านบาท ที่ต่อมาต้องเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิเย็นศิระเพราะพระบริบาล” โดยนำดอกผลช่วยเหลือทหาร ตำรวจ อาสาสมัครของ กองทัพภาคที่ 3 มาโดยตลอด จึงนับว่าเป็นการสร้างวัตถุมงคลที่เจตนาบริสุทธิ์และยอดเยี่ยมโดยแท้จริง เพราะพิธีสร้างและพิธีเททอง พร้อมพิธีพุทธาภิเษก มีการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอน และคณะกรรมการได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงประกอบพิธีเททองหล่อวัตถุมงคลทั้งหมดเป็นปฐมมหามงคลฤกษ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 เวลา 16.49 น. โดยได้บันทึกการจัดสร้างไว้ว่า
ขณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงประกอบพิธีเททอง ณ บริเวณมณฑลพิธีด้านข้างพระอุโบสถ อากาศก็ร่มเย็นแจ่มใสให้ผู้ไปร่วมพิธีและพสกนิกรที่ไปเข้าเฝ้าครั้งนั้นเย็นสบายโดยทั่วกัน แต่ขณะเดียวกัน กลับปรากฎเหตุท้องฟ้าทางภาคเหนือ (ตรงจุดที่ตั้งกองทัพภาคที่ 3) เกิดมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา กระทั่งพิธีเททองเสร็จสิ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ กลับแล้ว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง จึงสงบลง
และพอถึงเวลา 17.55 น. พระวิสุทธิวงศาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ มหาเถระ) เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ฯ ในขณะนั้น (ภายหลังได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์) ดับเทียนชัยพิธีพุทธาภิเษก แล้วยังได้มอบเงิน 5,000 บาท เพื่อสมทบทุนมูลนิธิ “เย็นศิระเพราะพระบริบาล” อีกด้วย พร้อมๆ กับสายฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก จนน้ำนองรอบๆ ระเบียงพระอุโบสถ ทั้งๆ ที่บริเวณอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงวัดสุทัศน์ฯ กลับมีฝนตกเพียงประปรายเท่านั้น นับเป็นเหตุการณ์ที่ประหลาดอัศจรรย์แก่ผู้ไปร่วมพิธีโดยทั่วหน้ากัน ซึ่งวัตถุมงคลที่จัดสร้างทั้งหมดประกอบด้วย
พระพุทธรูปพระพุทธชินราชจำลอง พระกริ่งพระพุทธชินราช ภ.ป.ร. เหรียญพระพุทธชินราช ภ.ป.ร. เหรียญทรงผนวช เหรียญสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เหรียญสมเด็จพระเอกาทศรถ รูปเหมือนเต็มองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ
และการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้นั้นก็ใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน คือ ต้องนำวัตถุมงคลทั้งหมดไปทำการตกแต่งเพื่อความสวยงาม ร่วม 1 ปี จึงแล้วเสร็จ จากนั้น พลโท สำราญ แพทยกุล แมทัพกองทัพภาคที่ 3 จึงได้อัญเชิญไปประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระวิหารหลวง พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม ทรงประกอบพิธีจุดเทียนชัยมหาพุทธาภิเษก
และมีพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณร่วมพิธีพุทธาภิเษาจำนวน 45 รูป อาทิ พระภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ, พระโพธิวรคุณ (ไพฑูรย์) วัดโพธิ์นิมิต, พระราชมุนี (มหาบุญโฮม) วัดปทุมวนาราม, พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี, พระครูพิพิธวิหารการ (หลวงพ่อเทียม) วัดกษัตราธิราช, พระครูรักขิตวันมุนี (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลยก์, พระครูญาณวิจักษ์ (พระอาจารย์ผ่อง จินดา) วัดจักรวรรดิราชาวาส, พระครูนนทกิจวิมล (หลวงพ่อชื่น) วัดตำหนักเหนือ, พระครูกิตตินนทคุณ (หลวงพ่อกี๋) วัดหูช้าง, พระครูโกวิทสมุทรคุณ (หลวงพ่อเนื่อง) วัดจุฬามณี, พระครูสุตาธิการี (หลวงพ่อทองอยู่) วัดใหม่หนองพะอง ฯลฯ
ทางด้านโลหะที่นำมาสร้างวัตถุมงคลครั้งนั้น ประกอบด้วยแผ่นทองแดงและแผ่นทองเหลืองลงอักขระยันต์โดยพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณในยุคนั้นทั่วประเทศ 108 รูป ซึ่งแต่ละรูปก็ทำการลงอักขระยันต์ตามความถนัดของแต่ละท่าน แล้วจึงอธิษฐานจิตและภาวนาปลุกเสกเพิ่มเติมในวันเสาร์ 5 ซึ่งปีนั้นตรงกับวันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2516 เพื่อนำมาหล่อหลอมกับทองคำ นาก เงิน ทองเหลือง ทองแดง ที่คณะกรรมการจัดสร้างเตรียมไว้
จากนั้นยังจัดทำพิธีปลุกเสกเพิ่มความเข้มขลังตามวัดต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร อีกถึง 4 วัด ดังนี้
- วัดบวรนิเวศวิหาร
- วัดสุทัศนเทพวราราม
- วัดไตรมิตรวิทยาราม
- วัดราชนัดดารามนอก
นอกจากนี้ยังมีชนวนโลหะจากพิธีสำคัญๆ เช่น พิธีสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง ชนวนโลหะหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 สำหรับประดิษฐานภายในบริเวณพระวิหารพระศรีศากยมุณีวัดสุทัศน์ และชนวนโลหะพระกริ่งพระชัยวัฒน์ อ.ป.ร. และทองชนวนเหรียญพระศรีศากยมุณี อ.ป.ร. ของมูลนิธีอัฎฐมราชานุสรณ์ ที่วัดสุทัศน์ดำเนินการจัดสร้าง ชนวนโลหะหล่อพระกริ่งรุ่นเก่าๆ ของวัดสุทัศน์ โดยคณะกรรมการนำชนวนโลหะทั้งหมดหล่อหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน สร้างเป็นวัตถุมงคลตั้งแต่รายการที่ 1-6 และนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกและมังคลาภิเษกอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ ณ พระอุโบสถวัดสุทัศน์ฯ ระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม พ.ศ. 2516
จึงมั่นใจได้ว่าวัตถุมงคลที่จัดสร้างโดยกองทัพภาคที่ 3 ชุดนี้ มีความเข้มขลังยิ่ง เพราะนอกจากมีการจัดพิธีสร้างเป็นไปตามโบราณประเพณีทุกประการแล้ว ยังอัญเชิญตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่ฐานผ้าทิพย์พระพุทธชินราชจำลองและพระกริ่ง เพื่อความเป็นสิริมงคล
จึงนับว่าการจัดสร้างวัตถุมงคลชุดนี้ นอกจากด้วยเจตนาบริสุทธิ์แล้ว การจัดสร้างก็อยู่ในเวลาอันเหมาะสม เพราะพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาสิไทประดิษฐานไว้ ณ เมืองพิษณุโลก โดยสร้างเป็นปางมารวิชัย ที่แสดงถึงชัยชนะของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมีต่อพญาวัสดีมาร
ส่วนพระนาม “พระพุทธชินราช” ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นใหญ่ (ราชา) แห่งชัยชนะ
ซึ่งอดีตกาลในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเป็นยุคสมัยที่ทรงกอบกู้เอกราช ด้วยการประกาศอิสรภาพ และทรงนำทัพออกรบกับทัพพม่าด้วยพระองค์เอง ทั้งที่มีไพร่พลน้อยกว่า แต่พระองค์ก็มิได้หวาดหวั่นใดๆ เพราะก่อนนำทัพออกรบ พระองค์จะเสด็จฯ นมัสการพระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลกทุกครั้ง และทรงได้รับชัยชนะตลอดมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์ยอดนักรบของแผ่นดินไทย ที่ทรงมีต่อพระพุทธชินราชได้อย่างดี เพราะพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆ มาของกรุงศรีอยุธยา เช่น สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหาวีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทยอีกพระองค์ ที่ทรงกอบกู้เอกราชจากพม่า ในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2310 ก็ทรงเจริญรอยตาม เสด็จฯ นมัสการพระพุทธชินราชก่อนทำสงครามทุกครั้งเช่นกัน รวมถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเมื่อทรงปราบดาภิเษกเป็นสมเด็จพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์แล้ว ก็ยังเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธชินราชอยู่เสมอๆ
เหตุนี้ พระพุทธชินราชจำลอง ที่สร้างโดยกองทัพภาคที่ 3 จึงถึงพร้อมด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และพระมหากษัตริยาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อปวงชนชาวไทยถึง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
นอกจากนี้ ความงดงามของพระพุทธชินราชจำลองทุกรูปแบบที่กองทัพภาคที่ 3 จัดสร้างขึ้นครั้งนั้น ก็งดงามใกล้เคียงกับองค์จริง เพราะได้นายช่างผู้มากฝีมือเป็นผู้แกะแม่พิมพ์ ซึ่งก็คือ นายช่างเกษม มงคลเจริญ ผู้มีพรสวรรค์การสร้างสรรค์พระพุทธรูปขนาดเล็ก รวมทั้งการแกะแม่พิมพ์รูปเหมือนได้เหมือนจริงที่สุด และประการสำคัญ มีความงดงามตามสัดส่วน ที่แม้จะเป็นขนาดเล็กก็ตาม
ส่วนโลหะที่นำมาสร้างวัตถุมงคลชุดนี้ เฉพาะพระพุทธรูปพระพุทธชินราชจำลอง มีเพียงเนื้อเดียวคือเนื้อทองผสม แล้วนำมาปิดทองให้สวยงาม มี 3 ขนาด คือ
- ขนาดใหญ่พิเศษ สร้าง 20 องค์ สำหรับนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายและสมนาคุณเฉพาะคณะกรรมการจัดสร้าง
- ขนาด 9 นิ้ว และ 5 นิ้ว ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก จึงมีราคาแพง เพราะสร้างจำนวนตามสั่งของ
ทางด้านเหรียญและรูปเหมือน มีทั้งหมด 5 เนื้อ คือ เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองแดง ปัจจุบันเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ พบเห็นได้ยาก เพราะสร้างจำนวนน้อย โดยเฉพาะเหรียญทรงผนวชเนื้อนวโลหะขนาดเล็ก ที่นำต้นแบบจากวัดบวรนิเวศวิหาร ยิ่งหาชมได้ยากมาก เนื่องจากสร้างเป็นพิมพ์พิเศษ คือ ด้านหน้าเป็นพระพุทธชินราช ส่วนด้านหลังเป็นพระบรมรูปขณะทรงผนวช และมีหมายเลขกำกับทุกเหรียญ ส่วนเนื้ออื่นๆ จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยด้านหน้าเป็นพระบรมรูปทรงผนวช ส่วนด้านหลังเป็นพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร.
ประวัติการสร้างพระกริ่งชินราช ภ.ป.ร. แม่ทัพภาค 3 ปี 2517
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ พล.ท. สำราญ แพทยกุล แม่ทัพภาคที่ 3 จัดสร้างวัตถุมงคล พระพุทธชินราช ภ.ป.ร. ขึ้นเป็นครั้งแรก และเสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเททองหล่อพระพุทธชินราช ภ.ป.ร. ณ มณฑลพิธีวัดสุทัศนเทพวรารามฯ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2516 เวลา 16.49 น. โดยมี สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นประธานสงฆ์ และประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณแห่งยุคนั้นจำนวน 45 รูป นั่งปรก
วัตถุมงคล พระพุทธชินราช ภ.ป.ร. รุ่นแรก ประกอบด้วย
- พระพุทธชินราช ภ.ป.ร. ขนาดบูชา 5 นิ้ว และ 9 นิ้ว ลงรักปิดทอง ฐานหลังตรากองทัพภาคที่ 3 จ.ส.อ.ดร.ทวี บูรณะเขต์ เป็นประติมากรช่างหล่อ
- พระกริ่งพระพุทธชินราช ภ.ป.ร. เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ (เบอร์แกะสลัก)
- เหรียญพระพุทธชินราชหลังอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. (เหรียญอาร์ม) เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองแดง
- เหรียญในหลวงทรงพระผนวชหลังอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. (เหรียญอาร์ม) เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองแดง (เหรียญเนื้อทองคำเป็นเหรียญอาร์มพิมพ์เล็ก เหรียญเนื้อเงิน เป็นพิมพ์กลาง ส่วนเหรียญทองแดง และอัลปาก้า เป็นเหรียญพิมพ์ใหญ่)
- เหรียญพระพุทธชินราช ด้านหลังพระบรมรูปในหลวงทรงพระผนวช เนื้อนวโลหะ (เบอร์แกะ พิมพ์เล็ก) เป็นเหรียญแจกกรรมการจัดสร้าง
และด้วยพระบารมีปกเกล้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ภูมิพลอดุลยเดช หมายถึง ผู้ทรงกำลังอำนาจ ไม่มีอะไรเทียบในแผ่นดิน) พระผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดิน พระผู้ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงเป็นธรรมราชาผู้ยิ่งใหญ่ จึงถือว่า เป็นมหามงคลแก่ผู้มีไว้สักการบูชาเป็นยิ่งนัก
พิธีพุทธาภิเษก
วัตถุมงคลพระพุทธชินราชรุ่นนี้กองทัพภาคที่ 3 จัดสร้างปี พ.ศ. 2517 เป็นพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของวัดศรีรัตนมหาธาตุฯ จังหวัดพิษณุโลก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จประกอบพิธีเททอง และมีพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรก ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสุทัศน์
ครั้งที่สอง พลโทสำราญ แพทยกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ได้อัญเชิญวัตถุมงคลทั้งหมดไปประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระวิหารหลวงพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงประกอบพิธีจุดเทียนชัยมหาพุทธาภิเษก และมีพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณร่วมพิธีพุทธาภิเษกจำนวน 45 รูป อาทิ
- พระภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ
- พระโพธิวรคุณ (ไพฑูรย์) วัดโพธิ์นิมิต
- พระราชมุนี (มหาบุญโฮม) วัดปทุมวนาราม
- พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
- พระครูพิพิธวิหารการ (หลวงพ่อเทียม) วักษัตราธิราช
- พระครูรักขิตวันมุนี (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลย์
- พระครูญาณวิจักษ์ (พระอาจารย์ผ่องจินดา) วัดจักรวรรดิราชาวาส
- พระครูนนทกิจวิมล (หลวงพ่อชื่น) วัดตำหนักเหนือ
- พระครูกิตตินนทคุณ (หลวงพ่อกี๋) วัดหูช้าง
- พระครูโกวิทสมุทรคุณ (หลวงพ่อเนื่อง) วัดจุฬามณี
- พระครูสุตาธิการี(หลวงพ่อทองอยู่) วัดใหม่หนองพะอง เป็นต้น
……………………………..
ขอขอบคุณ : ข้อมูลจากหนังสือ มหามงคลแห่งแผ่นดิน
ที่มา : หนังสือมหามงคลแห่งแผ่นดิน โดย นายอดุลย์นันท์ทัต กิจไชยพร พฤศจิกายน 2551