FORGOT YOUR DETAILS?

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม หรือ พระครูวินัยวัชรกิจ เจ้าอาวาสวัดตาลกง ต.มาบปลาเค้า อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เป็นพระนักพัฒนา พระนักปฏิบัติ เคร่งครัดพระธรรมวินัย มีบุคลิกลักษณะผิวพรรณผ่องใส อัธยาศัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา ใครไปหากราบไหว้ ท่านต้อนรับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะด้วยไมตรีจิต สมเป็นสมณพุทธบุตรธรรมทายาท เนื้อนาบุญอย่างแท้จริง

วัดตาลกง ตั้งอยู่เลขที่ ๕๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลมาบปลาเค้า อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี สังกัดวัดมหานิกาย เนื้อที่ ๑๓ ไร่เศษ สันนิษฐานว่าวัดตาลกง เริ่มแรกเป็นสำนักสงฆ์ ชื่อ "สำนักสงฆ์ตาลโก่ง" ประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๐ (๑๕๐ ปีกว่า) ตามประวัติที่คนเฒ่าคนแก่เล่าสืบๆ กันมา ณ บริเวณที่ตั้งสำนักสงฆ์ มีต้นตาลต้นหนึ่งลักษณะออกยอดอยู่ประมาณ ๗ ยอด ลำต้นโก่ง เรียกกันว่า "ตาลโก่ง"

ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงยกฐานะขึ้นเป็นวัดโดยสมบูรณ์ จากชื่อเดิมตาลโก่งที่เคยเรียกขานกันมาก ก็เหน่อกลายมาเป็น "ตาลกง" ซึ่งเป็นชื่อ วัดตาลกง ในปัจจุบัน

วัดตาลกง มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลสืบทอดกันมาหลายรูป แต่ไม่ปรากฎหลักฐาน พ.ศ. ชัดเจนนัก สำหรับเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีในอดีต คือหลวงพ่อตุ้ม มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความสำคัญที่เล่ากันว่า ภายในอุโบสถวัดตาลกงหลังเดิม สันนิษฐานว่าสร้างประมาณ พ.ศ. ๒๔๑๕ มีผงพุทธคุณ เสน่ห์เมตตานิยมสูง บรรจุไว้ เป็นของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี ในสมัยที่หลวงพ่อตุ้มเป็นเจ้าอาวาส

เจ้าอาวาสอีกรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อผิว (ผู้เป็นลุงของหลวงพ่ออุ้น) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์เวทมนต์ คาถาอาคมรุ่นเดียวกับหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง ทั้งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับหลวงปู่นาค วัดหัวหิน (พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่คำ วัดหนองแก) จนมาถึงยุคสมัยของหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดตาลกง พ.ศ. ๒๕๐๔ ซึ่งท่านได้พัฒนาผลงาน ก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์ ตลอดจนถาวรวัตถุต่างๆ เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ชาติภูมิ

หลวงพ่ออุ้น นามเดิม อุ้น อินพรหม ถือกำหนดเมื่อวันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ณ บ้านหนองหินถ่วง ต.มาบปลาเค้า อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เป็นบุตรคนโต ในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๘ คน คือ ๑. หลวงพ่ออุ้น ๒. นายอิ่น ๓. นายเอื่่อน ๔. นายพวง ๕. นายแดง ๖. นางพุด ๗. นางเพี้ยน และ ๘. นางพ้วน บิดาของท่านชื่อบุญ อินพรหม ส่วนมารดาชื่อเล็ก อินพรหม

เริ่มการศึกษาเบื้องต้น หนังสือไทย ขอม ที่วัดไสค้าน จนกระทั่งจบการศึกษาภาคบังคับ แล้วมาช่วยเหลือบิดามารดาประกอบอาชีพในด้านเกษตรกรรม

สู่ร่มเงากาสาวพัสตร์

เมื่ออายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดตาลกง ตรงกับวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ โดยมีพระอธิการชัน วัดมาบปลาเค้า เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการผิว วัดตาลกง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการขาว วัดอินจำปา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายาว่า "สุขกาโม"
ครั้นอุปสมบทแล้วได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาลกง ศึกษาพระธรรมวินัย อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อผิว และศึกษาข้อวัตรปฏิบัติเรื่อยมา

การศึกษาพุทธาคม

การศึกษาพุทธาคมของหลวงพ่ออุ้น เริ่มจากการอยู่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อผิว วัดตาลกง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญไสยศาสตร์ เวทมนต์ คาถาอาคม รุ่นราวคราวเดียว (สหธรรมิก) กับหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง ทั้งยังเก่งทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน เมตตา อยู่ยงคงกระพัน ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่นาค วัดหัวหิน ทั้งเคยเดินทางไปขอศึกษาวิชาความรู้จากหลวงปู่นาคอยู่เป็นประจำ

หลวงพ่อผิว ธมฺมสิริ เป็นพระเกจิทรงคุณวิเศษของเมืองเพชรบุรีในยุคนั้น แต่อุปนิสัยของท่านชอบอยู่อย่างสันโดษ เก็บตัวเงียบไม่ยอมเปิดเผยว่ามีดี นานๆ จะลง นะ ที่กระหม่อมให้ผู้ไปหาท่านสักครั้ง

ชาวบ้านวัยชราอายุ ๘๐ กว่า เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อผิวลง นะ ที่หัวให้ตัวเดียว มีคุณสารพัด อยู่ยงคงกระพันจนวันตาย คนเก่าๆ แถวท่ายาง ต่างประจักษ์ในความคงกระพันชาตรีมาแล้วหลายราย ก่อนนี้มีไอ้หนุ่มวัยรุ่นจากประจวบคีรีขันธ์มาติดพันสาวมาบปลาเค้า เข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อผิว ขอให้ท่านลงนะที่กระหม่อมให้ ครั้นต่อมาไม่นานเขากลับมามาบปลาเค้าอีกครั้ง ถูกนักเลงท้องถิ่นแทงด้วยมีด ตีหัวด้วยท่อนไม้ แต่ไม่ยักเป็นไร เลยฮึดสู้ หนึ่งต่อสาม เล่นเอานักเลงเจ้าถิ่นต้องเปิดหนีกันจ้าละหวั่นไปเลย

หลวงพ่ออุ้น เป็นที่โปรดปรานของหลวงพ่อผิวมากๆ ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาให้จนหมดสิ้น

ในพรรษาต่อมา หลวงพ่ออุ้นเดินทางไปกราบนมัสการ หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อเล่าเรียนฝึกปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน พุทธาคม โดยเรียนฝึกวิชากสิณจนชำนาญในกสิณ ๑๐ รวมทั้งตำรับตำราการทำผงเมตตาชั้นสูงจากหลวงพ่อทองศุข

หลวงพ่อทองศุข เห็นความมานะพยายาม ประจวบกับหลวงพ่อผิว อดีตเจ้าอาวาสวัดตาลกง ก็มีความคุ้นเคยกันมาก่อนแล้ว ท่านจึงรับหลวงพ่ออุ้นไว้เป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชาให้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะมีการศึกษาเล่าเรียนนั้น หลวงพ่อทองศุข ได้ดูฤกษ์ยามก่อนแล้วนัดกำหนดวันให้หลวงพ่ออุ้นเดินทางไปทำพิธีขึ้นครู หรือการยกครู โดยมีขันธ์ ๕ ดอกไม้ ธูป เทียน บายศรี ทำพิธีขึ้นครู

กล่าวได้ว่า หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นศิษย์ผู้สืบสายพุทธาคมจากหลวงพ่อทองศุข รูปหนึ่งอย่างแท้จริง ไม่ใช้เป็นเพียงการกล่าวอ้าง ในการเรียนวิชาของหลวงพ่ออุ้นนั้น ต้องเดินทางจากวัดตาลกงไปเรียนที่วัดโตนดหลวง ครั้งหนึ่งจะต้องไปพักอยู่วัดโตนดหลวงถึง ๑๕ วัน ไปกลับอย่างนี้อยู่เป็นประจำ และยังออกปริวาสกรรมร่วมกับหลวงพ่อทองศุข ขึ้นเขาไปบำเพ็ญเพียรในป่าช้าก็บ่อยครั้ง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ไปกับหลวงพ่อจัน วัดมฤคทายวัน ซึ่งเป็นญาติกับหลวงพ่อทองศุข หลวงพ่อจันรูปนี้เก่งวิชาสะกดชาตรี คือเป็นวิชาสะกดให้สัตว์ร้ายอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทราบว่าท่านได้เรียนมาจากพระธุดงค์ชาวเขมร

หลวงพ่อจันได้ถ่ายทอดวิชาสะกดชาตรีให้หลวงพ่ออุ้นเช่นกัน สำหรับวิชาที่โดดเด่นสำคัญสุดของหลวงพ่อทองศุข ยากนักที่ศิษย์ผู้ใดจะได้รับถ่ายอดให้ คือ วิชาทำผงพระจันทร์ครึ่งซีก วิชาผงพระจันทร์ครึ่งซีกเป็นอย่างไร ว่ากันว่า เป็นผงเมตตามหานิยมที่มีพุทธคุณอมตะล้ำลึกยิ่งกว่าผงอิทธิเจ และผงปถมังหลายเท่านัก จากวิชาผงพระจันทร์ครึ่งซีกนี้ หลวงพ่ออุ้นยังไม่ปรากฎว่าท่านนำออกมาทำผงเลย เพราะมีกฎสัจจะที่สำคัญมาก นอกจากนั้น หลวงพ่อทองศุขยังได้สอนการทำผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช และผงหน้าพระภักษ์ ซึ่งเป็นตำรับสุดยอดของพระผงวัดนก จังหวัดอ่างทอง ตำราผงหน้าพระภักษ์นี้ทราบว่าได้สูญหายไปจากวงการไสยศาสตร์เป็นเวลานานแล้ว หากมีอยู่ หรือตกเป็นมรดกแก่ผู้ใดก็น้อยเต็มทีที่จะรู้ได้

สำหรับวิชา นะ ปัดตลอด นั้น หลวงพ่ออุ้นได้รับการถ่ายทอดเช่นกัน วิชานี้จะสังเกตได้ถึงวัตถุมงคลของสำนักงานวัดโตนดหลวง มียันต์นะ ปัดตลอด และ นะ ปถมัง ปรากฎอย่างชัดเจน รวมทั้งวัตถุมงคลศิษย์สายหลวงพ่อทองศุขทุกรูป

หลวงพ่ออุ้นเป็นพระที่มีบุคลิกลักษณะผิวพรรณวรรณะผ่องใส อัธยาศัยไมตรีเปี่ยมด้วยเมตตาและสัจบารมีเป็นที่ตั้ง ท่านใส่ใจในเรื่องที่วัฏสงสาร คือการเกิดแก่เจ็บตาย บุญกรรม และสิ่งลี้ลับในธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องเวทย์มนต์ คาถาอาคม อักขระเลขยันต์ เป็นพิเศษ ซึ่งชอบมาตั้งแต่อายุยังน้อย จึงเป็นแรงจูงใจให้ศึกษาเล่าเรียน เรียนรู้และปฏิบัติให้เข้าถึง รู้แจ้งเห็นจริง ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อทองศุขได้เล็งเห็นอุปนิสัยใจคอแล้ว จึงถ่ายทอดสรรพวิชาให้หลวงพ่ออุ้นจนหมดสิ้น

จากนั้นต่อมา หลวงพ่ออุ้นได้ไปกราบนมัสการพระอธิการชัน วัดมาบปลาเค้า ขอศึกษาเล่าเรียนวิชาไสยศาสตร์ ซึ่งพระอธิการชันท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัด เป็นวิชาอยู่ยงคงกระพัน และเสกลิงลม วิชาขับคุณไสยทำปรอท เล่นแร่แปรธาตุ เรียนวิชาจากหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง เรียนวิชาทำตะกรุด และปลัดตามตำรับหลวงพ่อโคก วัดปากคลองบางครก

ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่ออุ้นใช่จะมีแต่เพียงพระสงฆ์เท่านั้น แม้แต่เป็นฆราวาสผู้เชี่ยวชาญในสรรพวิชา ท่านก็ยังไปขอเล่าเรียนศึกษาเช่นกัน อย่างเช่นอาจารย์โม ซึ่งเป็นหมอสักชาวเพชรบุรี มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนั้น ท่านได้ไปขอเล่าเรียนวิชาจากอาจารย์โม แม้แต่หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ซึ่งปัจจุบันท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรูปหนึ่งของจังหวัดนครปฐม (เพิ่งมรณภาพเมื่อต้นเดือน พ.ย. ๔๓) ก็เล่าเรียนวิชาสักยันต์จากอาจารย์โม

จากนั้นหลวงพ่ออุ้นท่านก็ไปเรียนวิชาทำสีผึ้งมหาเมตตา วิชาลงเลขยันต์ ลงสมุนไพร ตำราสมุนไพรจากหมอฉ่ำ หมอไสยศาสตร์ชาวอำเภอท่ายาง ที่จริงโยมบุญ อินพรหม โยมพ่อของหลวงพ่ออุ้น ท่านก็เป็นหมอไสยศาสตร์มีความรู้เรื่องยาโบราณ มีตำรายาโบราณที่ตกทอดมาแต่ยุคก่อนจำนวนมาก โดยเฉพาะตำราทำผงยาเพชรมณี หลวงพ่ออุ้นก็ได้รับสืบทอดมา ว่ากันว่า ผงยาเพชรมณีหรือเพชรจินดา เป็นตำรายาหัวใจ ยาลม ยาอายุวัฒนะที่ดีมาก ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษไม่แตกต่างกับผงยาจินดามณีของปู่บุญมากนัก หรืออาจเป็นตำราสูตรเดียวกันมาแต่โบราณก็เป็นได้

เมื่อหลวงพ่ออุ้น ได้เรียนวิชาไสยเวย์ทต่างๆ มาอย่างช่ำชองแล้ว ก็ได้เคยนำเอาวิชาสักยันต์มาสักลงให้บรรดาศิษย์และชาวบ้าน สักเสือผยอง เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ชาวบ้านที่นิยมก็มาสักกันมากพอสมควร และบุคคลที่สักไปเหล่านั้น ที่เป็นคนดังก็มาก คนดีก็มี ภายหลังท่านมาพินิจพิจารณาถึงวิชาเหล่านี้ว่าไม่สมควรนำมาใช้ให้กับบุคคลต่างๆ เพราะบังเกิดมีทั้งดีและชั่ว ผิดและถูก ไม่มีใครเป็นคนดีได้หมด ซึ่งอาจนำไปสู่แนวทางอกุศลกรรมได้ ครั้นพิจารณาในหลักธรรมอย่างถ่องแท้แล้ว นับตั้งแต่วันนั้น ท่านจึงหยุดทำการสักและมุ่งมั่นหันมาช่วยชาวบ้านด้านขับคุณไสย ขับผี ไล่วิญญาณพเนจร ที่เข้าสิงร่างชาวบ้าน จนขึ้นชื่อ ที่ใดในแถบตำบลนั้นมีปัญหาเรื่องผีเข้า ถ้าขู่ว่าจะพาไปหาหลวงพ่ออุ้น มักจะออกไปทันที เรื่องนี้ชาวตำบลมาบปลาเค้าทราบดี บางรายไปพรหมน้ำมนต์ร้องครวญคราง รายใดถ้าแข็งจะถูกตอกตะปูแล้วกลึง ต่อมาเหล่าวิญญาณทั้งหลายจะต้องด้วยในบารมีหลวงพ่ออุ้น หรือไรไม่ทราบ ถ้าเกิดผีเข้ากลางงานที่มีผู้คนมากๆ ผู้คนจะช่วยกันไล่ ไม่ยอมไป ถึงโดนซ้อมจนน่วมก็ไม่ออก ถ้าขู่ว่าจะช่วยกันจับไปหาหลวงพ่ออุ้น ส่วนมากจะออกไปทันที เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมาก ลองถามชาวบ้านดูได้ ท่านยังมุ่งมั่นความหลุดพ้น เจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นเวลานานๆ อยู่ประจำ มีความสงบนิ่ง มีเมตตา มอบให้แก่พุทธศาสนิกชนที่ไปกราบนมัสการท่านเสมอเหมือนกันหมด

ปฏิปทาศีลวัตร

ทุกวันนี้ ผู้ที่ใกล้ชิดหลวงพ่ออุ้น ต่างก็ทราบกันดีว่า หลวงพ่อวัดตาลกงไม่ใช่พระธรรมดา หรือเป็นพระธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา เพราะท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีปฏิปทาศีลวัตร สัจคุณงามเป็นพระสุปฏิปันโน สมเป็นสมณสากยพุทธบุตรในพระพุทธศาสนาอีกรูปหนึ่ง ที่พุทธศาสนิกชนศรัทธาเลื่อมใสกราบไหว้ด้วยความอิ่มใจ หลวงพ่ออุ้นมีญาณ สมาบัติสูง มีสมาธิจิตแก่กล้า กรวดหิน แร่ ธาตุต่างๆ ท่านหยิบผ่านมือแล้วมอบให้แก่ใครก็มีอานุภาพพุทธคุณอย่างน่าอัศจรรย์

พระนักพัฒนา

เมื่อพูดถึงงานด้านการพัฒนา หลวงพ่ออุ้นได้อยู่ช่วยเหลือหลวงพ่อผิว (ผู้เป็นหลวงลุง) สร้างวัดตาลกงมาตั้งแต่แรกๆ จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ก่อนนี้ท่านได้เดินทางเข้าป่าละอูไปช่วยหลวงพ่อผิวตัดไม้ ไปกลางเดือนอ้าย กลับถึงวัดกลางเดือนห้า ใช้เวลาไปกลับครั้งละ ๔ เดือน เป็นอย่างนี้ประจำถึง ๕ ปี ไปกับหมู่สงฆ์ ไปปลูกโรงอาศัยในป่า ไม้ที่ตัดใช้เกวียนลากมาแสนจะลำบาก

หลวงพ่ออุ้น ได้ออกธุดงควัตรไปทั่วทุกภูมิภาค ที่ๆ อยู่ในความทรงจำของท่านมากทีุ่สุด ก็คือ ป่าตะนาวศรี ป่าละอู และป่าปราณบุรี เดินธุดงค์จนไปพบผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ถวายที่ดินให้ท่านสร้างวัดและโรงเรียนจำนวนถึง ๑,๐๐๐ กว่าไร่ หลวงพ่อถามโยมผู้ถวายที่ดินว่า เมื่อโยมถวายที่ให้อาตมาแล้ว จะให้มีอะไรบนที่ดินผืนนี้บ้าง โยมผู้นั้นบอกว่าต้องการมีวัด โรงเรียน และสถานีอนามัย เมื่อรับปากว่าจะดำเนินการให้โยมนั้นตามความประสงค์ ต่อมาหลวงพ่ออุ้นก็เริ่มพัฒนาดำเนินการจัดสร้างสำนักสงฆ์ท่าไม้ลายขึ้น ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ต.เขาเจ้า อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยจัดส่งพระอาจารย์รุ่ง ปิยธโร ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ ไปควบคุมดูแลปฏิสังขรณ์สำนักสงฆ์ ได้รับผ้าป่ากฐินพอเลี้ยงตัวเองได้ ต่อมาได้สร้างโรงเรียนขึ้นเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว จนบัดนี้มีเด็กนักเรียนประมาณ ๒๐๐ คน พร้อมกับสร้างสถานีอนามัยอยู่บนพื้นที่แห่งนี้ สมเจตนารมณ์ของผู้ถวายทุกประการแล้ว

หลวงพ่ออุ้นนอกจากจะเป็นพระนักปฏิบัติแล้ว ก็เป็นพระนักพัฒนา ผู้นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่สำนักสงฆ์ท่าไม้ลาย จากที่ว่างเปล่าให้กลายเป็นที่เจริญรุ่งเรือง ด้วยการพัฒนาสถานที่ และพัฒนาบุคคลไปพร้อมๆ กัน แม้ถึงทุกวันนี้ หลวงพ่ออุ้นยังไปมาสำนักสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ ได้นำเอาผ้าห่ม เครื่องอุปโภคบริโภค ไปแจกให้เด็กนักเรียนอยู่เป็นประจำ ผู้เขียนมีความศรัทธาในหลวงพ่ออุ้นมาก จากประวัติและปฏิปทาศีลวัตรของท่าน นับว่าเป็นพระคณาจารย์ที่ดีพร้อมจริงๆ

อุโบสถหลังเก่า

อุโบสถหลังเก่า ของวัดตาลกงมีอายุถึง ๑๖๐ กว่าปี มีสภาพชำรุดทรุดโทรม หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม จึงได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ภายในอุโบสถหลังเก่านี้ อดีตเจ้าอาวาสวัดตาลกงได้นิมนต์ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์มาทำผงอิทธิเจ บรรจุได้ ๑ โอ่ง ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๗ และหลวงพ่ออุ้นได้นำมาเก็บรักษาไว้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ หลวงพ่ออุ้น จึงได้นำเอาผงพุทธคุณเก่ามาผสมกับผงที่ท่านได้ทำขึ้น แล้วบดผสมข้าวปากบาตรและข้าวก้นบาตร กดพิมพ์ทำเป็นพระผงสมเด็จคะแนนขึ้น โดยจุดประสงค์เพื่อเอาพระสมเด็จคะแนนที่สร้างขึ้นส่วนหนึ่งไปบรรจุในอุโบสถหลังใหม่ และส่วนหนึ่งแจกกับพุทธศาสนิกชนและศิษย์ให้เป็นสิริมงคล พระสมเด็จคะแนนนี้สร้างขึ้นจำนวนหลายหมื่นองค์ โดยได้ดำเนินการสร้าง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ติดต่อกันถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ รวม ๓ ปี ในระหว่างนั้น หลวงพ่อผิวเป็นเจ้าอาวาสวัดตาลกงอยู่ ซึ่งอยู่ในวัยชราภาพแล้ว ได้ดำริควรจะสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น พร้อมทั้งงานพัฒนาเสนาสนะสงฆ์ที่ชำรุดทรุดโทรม โดยมอบให้หลวงพ่ออุ้นเป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบในด้านพัฒนาก่อสร้าง ดูแล ติดต่อสิ่งก่อสร้าง ซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ภายในวัดโดยตลอด

แล้วหลวงพ่ออุ้นได้ปรึกษากับท่านถึงเรื่องการสร้างพระสมเด็จเหม็น เพื่อนำปัจจัยมาสร้างอุโบสถหลังใหม่ แล้วได้นำมาร่วมกันทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกเป็นเวลา ๘ ปีเต็ม หลังจากนั้นก็ได้จัดส่วนต่างๆ ไว้ เช่น ไว้บนเพดานศาลา ใต้พระบูชาบนศาลา ส่วนใหญ่จะบรรจุอยู่ในอุโบสถหลังใหม่

พระสมเด็จคะแนนนี้ หลวงพ่อได้เริ่มนำออกมาแจกให้พุทธศาสนิกชน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปี ๒๕๑๑ ท่านก็หยุด จะมีบ้างก็ให้ประปราย เช่นคนที่มาจากต่างจังหวัด และประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านก็เก็บเงียบ ไม่แจกเลย และมาแจกอีกครั้งเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๙ พระสมเด็จคะแนนตามที่ชาวบ้านตาลกงเรียกมาแต่แรก เป็นพระผงที่มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมและเสน่ห์สูงมาก

กิตติคุณบารมีธรรมและผลงาน

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นพระเกจิอาจารย์อาวุโสรูปหนึ่งของเมืองไทย แม้จะเพิ่งเปิดเผยชีวประวัติเพียงไม่กี่ปีก็ตาม สำหรับสาธุชนในท้องถิ่นต่างรู้จักกิตติคุณของท่านมานานนับกว่า ๓๐ ปีแล้ว

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นแบบอย่างของพระภิกษุสงฆ์ที่เคร่งครัดธรรมวินัย มีศีลบริสุทธิ์ ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทางในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เป็นพระที่ไม่สะสม ไม่ปรุงแต่ง ไม่เคยยึดติดลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ยึดติดในลาภสักการะ ท่านมีแต่สงเคราะห์ช่วยเหลือ แผ่เมตตาบารมี

ผลงานการสร้างเสนาสนะสงฆ์ ตลอดทั้งถาวรวัตถุต่างๆ ปรากฎเป็นรูปธรรมมากมาย เช่น อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฎิสงฆ์ ฌาปนสถาน สำนักสงฆ์ โรงเรียน ถนนหนทาง กำแพงวัด ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนสำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ของหลวงพ่ออุ้นทั้งสิ้น เคยมีพระเถระผู้ใหญ่มาขอร้องให้ท่านรับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ ตำแหน่งเจ้าคณะตำบล ท่านปฏิเสธทั้งหมด เท่าที่ทราบพอลำดับประวัติตำแหน่งที่หน้าที่และสมณศักดิ์ได้ดังนี้

พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอธิการอุ้น สุขกาโม เจ้าอาวาสวัดตาลกง
พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมที่พระครูสังฆรักษ์อุ้น สุขกาโม
พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูวินัยวัชรกิจ
พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่พระราชทินนามเดิม

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม คือ การพูดตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอำพราง ใครอยากทราบอะไร ไปถามท่าน ท่านก็ตอบตรงๆ ถ้ารู้ท่านก็จะบอกจะอธิบาย ถ้าไม่รู้ท่านก็จะบอกว่าไม่รู้ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง แต่ประการใด ไม่เคยเห็นหลวงพ่ออุ้น โกรธใคร ดุด่าว่ากล่าวหรือตำหนิติเตียนผู้ใด ท่านเป็นพระอริยสงฆ์สำรวมในศีลาจารวัตรและมีเมตตาธรรม สนับสนุนการศึกษาแก่เยาวชน โดยจัดมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน ๙ โรงเรียน ที่เรียนดีแต่ยากจน เป็นประจำทุกๆ ปี

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้บริสุทธิ์ด้วยไตรสิกขา เป็นพระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ระดับแนวหน้า ยุคปัจจุบันของเมืองไทย แม้จะเพิ่งเปิดตัวเพียงไม่กี่ปี เป็นที่รู้จักศรัทธาเลื่อมใสของญาติโยมสาธุชนอย่างกว้างขวาง ใครไปหาท่าน ท่านเมตตาต่อทุกคน จะกราบไหว้ก็กราบได้สนิทใจ สมเป็นสมณพุทธบุตรธรรมทายาทอย่างแท้จริง

เกียรติคุณของหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นที่ยอมรับกันอย่างแท้จริง ดังนั้น ท่านจึงได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนในแวดวงพระเครื่อง จัดลำดับพระเกจิอาจารย์ยอดนิยมเมืองไทย ให้เป็นหนึ่งในสิบพระเกจิอาจารย์ในยุคปัจจุบัน

การสร้างวัตถุมงคล

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม ท่านมีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญในไสยเวทพุทธาคม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มีญาณสมาบัติแก่กล้า มีวิชาทำวัตถุมงคล ทำผงอิทธิเจ ผงปัทมัง ผงมหาราช ผงหน้าพระภักษ์ ผงพระจันทร์ครึ่งซีก ผงยาเพชรจินดา ทำชินปรอท เล่นแร่แปรธาตุ สักยันต์ หุงสีผึ้ง ลงนะ บรรจุพลังเสือโคร่ง หนุมาน เสกลิงลม ขับคุณไสย ขับวิญญาณผีสิง วิชาเสกปลัดขก ตามตำราหลวงพ่อโศก วัดปากคลอง เรียนรู้และปฏิบัติได้ผลสำเร็จสุดยอดวิชาไสยเวทย์ต่างๆ เหมือนพระเกจิอาจารย์โบราณ คณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคอดีต เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้วัตถุมงคลทั้งหมดของท่านได้มีพุทธคุณศักดิสิทธิ์ เข้มขลังหลายด้าน เช่น อยู่ยงคงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาด เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ และค้าขาย

การสร้างวัตถุมงคล พอกล่าวโดยสังเขป ๙ ประการ คือ

๑. การสร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นครั้งแรกของบรรดาวัตถุมงคลทั้งหมด คือ การสร้างพระผงสมเด็จเหม็น โดยเริ่มต้นการสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ และสิ้นสุดลงในปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เวลาการสร้างถึง ๓ ปี โดยหลวงพ่ออุ้นร่วมกับพระสงฆ์ภายในวัดตาลกงช่วยกัน ผงพุทธคุณที่นำมาผสมทำพระสมเด็จเหม็นในครั้งนั้น มีผงอิทธิเจหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ เป็นผงเก่าแก่ที่ได้มาทำไว้ในอุโบสถหลังเก่าของวัดตาลกง ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อแก้วอยู่ที่วัดปากทะเล ผสมกับผงพุทธคุณของหลวงพ่ออุ้น แล้วนำมาหมักผสมกับข้าวสุกจากปากบาตรและก้นบาตรของพระสงฆ์ที่ได้บิณฑบาตมา

การหมักนั้น ถ้าครั้งใดหมักทิ้งไว้หลายวันก็จะมีกลิ่นเหม็นมาก และถ้าหมักไว้ชั่วข้ามคืนจะมีกลิ่นเหม็นน้อย จึงเป็นเหตุให้พระสมเด็จเหม็นมีกลิ่นเหม็นมากน้อยไม่เท่ากัน พระผงสมเด็จเหม็นสร้างประมาณ ๘๔,๐๐๐ องค์ ส่วนหนึ่งได้บรรจุอยู่ในอุโบสถหลังใหม่ประมาณ ๔๕,๐๐๐ - ๕๐,๐๐๐ องค์ และอยู่ข้างนอก เช่นเพดานศาลา ใต้ฐานพระ และที่ท่านเก็บรักษาไว้ รวมประมาณ ๓๕,๐๐๐ - ๔๐,๐๐๐ องค์ และได้นำออกให้บูชา ถึงปัจจุบันก็มีเหลือไม่มากแล้ว

พระสมเด็จเหม็น มีการลองเนื้อ จะมีเนื้อออกแน่น ออกแก่น้ำมัน มีเนื้อออกน้ำตาล ออกแดง ในส่วนที่ลองเนื้อ ลองพิมพ์ เป็นวัตถุมงคลส่วนน้อย เอามาเป็นหลักในการเล่นหาไม่ได้ จะต้องเอาเนื้อหารูปแบบโดยรวมของวัตถุมงคลส่วนใหญ่มาเป็นหลักมาตรฐาน

หลังจากการสร้างพระผงสมเด็จเหม็นแล้ว การสร้างพระผงต่างๆ มีต่อมาอย่างต่อเนื่อง เช่น พระผงสมเด็จ ๗ ชั้น เนื้อเหม็น พระสมเด็จ ๙ ชั้น เนื้อผสมแร่ พระผงสมเด็จขี่เสือเนื้อผง และเนื้อผงผสมแร่พรหมชะแง้ พระสมเด็จ ๗ ชั้น สีแดง พระผง ชุดผงอิทธิเจ เช่น พระขุนแผน ๕ เหลี่ยม พระขุนแผนทรงพลไหล่อุ พระผงยอดขุนพล พระสมเด็จเสื้อกั๊ก พระปิตตาลอยองค์ พระปิตตานะปัดตลอด และต่อมายังมีพระขุนแผนยันต์เดียว เนื้อผงคลุกรัก เนื้อผงผสมเส้นเกศา พระปิตตาลอยองค์ใหญ่และเล็ก และพระผงปิดตตานะปัดตลอดยันต์จม เนื้อผงคลุกรัก และเนื้อผงผสมเส้นเกศา พระผงเนื้อสังขยา ได้แก่พระผงสมเด็จ ๕ ชั้น อกร่องหูบายสี พระพิมพ์บัวคว่ำบัวหงาย พระผงหน้าฤๅษีหลังราชวัฒน์ และยังมีพระผงพระปิตตาหลังแบบ เนื้อผงสมผงแร่พรหมชะแง้ พระรอดเนื้อผงชานหมาก พระผงสมเด็จใหญ่ขนาดบูชา และพระผงชุดผงเพชรจินดา อีกจำนวน ๕ พิมพ์ ๑. พระซุ้มขุนพลใหญ่ ๒. พระซุ้มขุนพลเล็ก ๓. พระร่วงนั่ง ๔. พระพิมพ์เล็บมือ ๕. พระงบน้ำอ้อย ฯลฯ

นับรวมๆ กันแล้ว จะมีพระผงอยู่ประมาณ ๒๖ ถึง ๓๐ พิมพ์ในอดีต และต่อเนื่อจนถึงปัจจุบัน ปี ๒๕๕๐ เกือบประมาณกว่า ๕๐ พิมพ์ ขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ขออภัย แต่ให้ทราบไว้ว่า พระเนื้อผงของท่านจะมีผงพุทธคุณเก่านำลงผสมในเนื้อทุกชุด

๒. การสร้างวัตถุมงคลด้วยเนื้อแร่เขาพรหมชะแง้ ซึ่งมีวัตถุมงคลหลายอย่าง เช่น พระสมเด็จปรกโพธิ์ พระสมเด็จขี่เสือใหญ่ เสือเล็ก พระสมเด็จคะแนนนางควัก พระสีวลี และปลัดขิก แร่เขาพรหมชะแง้เป็นเพียงสินแร่ ก่อนจะสร้างเป็นพระพิมพ์ได้ จะต้องมีการหลอมเหลว การหลอมจะต้องมีสูตร ถ้าทำไม่ถูกสูตร แร่พรหมชะแง้จะกลายเป็นผงธุลี เหมือนเผาหินทำปูนขาว หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม ท่านมีวิชา มีสูตรในการหลอม โดยใช้วัสดุกำกับด้วยไสยเวทย์มนต์คาถา เมื่อสามารถหลอมทำให้แร่เหลวเป็นน้ำแล้ว ก็หล่อเป็นวัตถุมงคลต่างๆ เมื่อเสกด้วยเวทย์มนต์ก็จะเกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุกายสิทธิ์ มีพุทธคุณครอบจักรวาลเหมือนดังเหล็กไหล

๓. การสร้างเหรียญรูปไข่รุ่นแรก ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มี ๔ เนื้อ ทองคำ เงิน นวะ และเนื้ออัลปาก้า เป็นเหรียญที่มีพุทธคุณสูง มีประสบการณ์มากมาย เป็นที่ยอมรับของวงการนักนิยมพระเครื่อง เป็นเหรียญที่มีค่านิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ซึ่งยังไม่เคยมีปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อน และต่อมาได้มีการสร้างเหรียญต่อเนื่องอีกหลายรุ่น จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๐ (รุ่นสุดท้าย)

๔. การสร้างวัตถุมงคล รุ่นพลังพุทธคุณ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีพระกริ่ง ๓ พิมพ์ และเหรียญหล่อ ๑ พิมพ์ มีพระกริ่งตั๊กแตนใหญ่ พระกริ่งบาเก็ง พระกริ่งจีนสมาธิ และเหรียญหล่อสุริยะประภา จันทรประภา เป็นการสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นครั้งแรกของพระกริ่งหลวงพ่ออุ้นทั้งหมด และเป็นวัตถุมงคลรุ่นที่หลวงพ่อท่านได้เป็นผู้เททองในการหล่อวัตถุมงคลรุ่นนี้ มีแผ่นทองลงอักขระเลขยันต์ โดยพระเกจิอาจารย์และพระคณาจารย์ต่างๆ ทั่วประเทศจำนวน ๑๓๙ รูป แผ่นทองลงเลขยันต์ตามตำรับหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ลงโดยหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม จำนวน ๑๐๘ แผ่น แผ่นทองลงนะ ๑๐๘ ยันต์ปัทมัง ๑๔ โดยพระคณาจารย์สายสังฆราชแพ และแผ่นทองลงยันต์สุดยอดมหายันต์ โดยหมอไสยศาสตร์สายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ตะกรุด เหรียญ ห่วงเหรียญ ชนวน ในการหล่อพระกริ่งและพระประธานอีกจำนวนมาก และจะได้นำเอาเนื้อและชนวนที่เหลือจากการสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ไปเป็นชนวนสำหรับผสมลงในการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อในรุ่นอื่นต่อเนื่องมา

สำหรับรูปหล่อโบราณรุ่น ๑ เหรียญหล่อเสมา และเหรียญหล่อนั่งเต็มองค์ รุ่น ๑ ทั้งหมด ๓ พิมพ์ ในช่วงนั้น มียอดจำนวนการสร้างน้อยมาก สร้างในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ หลังออกเหรียญปั๊มรุ่นแรก มีพุทธคุณดีมาก อนาคตจะหายากที่สุด

๕. การสร้างพระเนื้อชินปรอท สร้างในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ จำนวน ๒ พิมพ์ คือ

  • ๕.๑ เหรียญหล่อซุ้มขุนพเ็ล็ก
  • ๕.๒ พระสังกัจจายน์ ได้สร้างตามตำรับวิชาผสมปรอทแบบโบราณ เป็นวิชาที่โดดเด่นด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี และป้องกันคุณไสย และอาเภทภัยทั้งปวง สำหรับเนื้อชินปรอทนี้ทำยาก จึงมีการสร้างวัตถุมงคล ๒ พิมพ์นี้ ไว้เพียงอย่างละ ประมาณ๒๐๐ - ๓๐๐ องค์ เท่านั้น

๖. การสร้างวัตถุมงคลเนื้อผงยาเพชรจินดา มีวัตถุมงคล ๕ พิมพ์

  • ๖.๑ พระซุ้มขุนพลใหญ่
  • ๖.๒ พระซุ้มขุนพลเล็ก
  • ๖.๓ พระร่วงนั่ง
  • ๖.๔ พระพิมพ์เล็บมือ
  • ๖.๕ พระงบน้ำอ้อย

ที่จริงแล้วผงยาเพชรจินดาเป็นยารักษาและบำรุงหัวใจและขับลม เป็นสูตรยาที่ตกทอดมานานแล้ว ซึ่งสันนิษฐานว่าจะไม่แตกต่างกับผงยาจดินดามณีของหลวงปู่บุญมากนัก ได้ถูกนำมาสร้างเป็นวัตถุมงงคลจนขึ้นชื่อลือชา อย่างเช่น พระผงยาจินดามณีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น

๗. การสร้างเครื่องรางต่างๆ มีการสร้างมากขึ้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๕๔๓ - ๒๕๔๔ และต่อเนื่องมาใน พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๒๕๕๐ (รุ่นสุดท้าย) เช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด หนุมาน ปลัดไม้แกะ ลิงลม ฯลฯ

๘. การสร้างล็อกเก็ตรูปนั่งเต็มองค์ รุ่น ๑ หลังบรรจุผงพุทธคุณ สร้างจำนวน ๓๐๐ กว่าเหรียญ สำหรับล็อกเก็ตรูปครึ่งองค์ รุ่น ๑ เป็นรุ่นที่สร้างพิถีพิถันมีตะกรุด ๕ ดอก ๓ ดอก บรรจุพุทธคุณและเส้นเกศา ผสมขี้ตะไบชนวนหล่อรุ่นพลังพุทธคุณ สร้างทั้งหมด ๓๓๒ เหรียญ และในปีต่อๆ มา ทางวัดได้จัดสร้างล็อกเก็ตต่อเนื่องมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๘

๙. สรุปการสร้างวัตถุมงคล รุ่นต่างๆ ของหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม อาจเห็นว่ามีมากพิมพ์พอสมควร แต่ยอดจำนวนการสร้างแต่ละพิมพ์นั้นมีน้อยมาก ซึ่งทางวัดตาลกงได้จัดสร้างวัตถุมงคลที่ออกมาในนามหลวงพ่ออุ้น ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๐ (รุ่นสุดท้าย) แล้วนั้น ซึ่งทางวัดได้จัดทำหนังสือชีวประวัติและประมวลภาพวัตถุมงคลทุกรุ่นของหลวงพ่ออุ้นไว้ ก็ขอให้ท่านได้โปรดใช้การพินิจพิจารณาดูให้ถ่องแท้ โดยขอให้ทุกท่านได้ยึดถือ หนังสือประมวลภาพของทางวัดไว้เป็นแนวทางในการศึกษาและเก็บสะสมวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุ้น เพราะหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตา มีผู้ใดนำวัตถุมงคลมาให้ท่านปลุกเสก ท่านจะเสกให้ทุกรายไป แต่หาใช่ว่าวัตถุมงคลเหล่านั้นเป็นของท่านเสมอไป

ประสบการณ์วัตถุมงคล

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นพระสุฎิปันโนที่สมบูรณ์แบบด้วยปฏิปทาศีลวัตร สัจคุณ นอบน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวดถือตัว มีเมตตาบารมีสูง เป็นที่พึ่งของศิษยานุศิษย์และญาติโยมสาธุชนทั่วไป ในด้านวัตถุมงคลของท่าน มากประสบการณ์ทั้งด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ปราบคุณไสย ได้ผลประจักษ์ชัด ท่านสร้างขึ้นเพื่อเน้นพุทธคุณ ด้านคุ้มครองป้องกันภัย แม้จะเป็นพระใหม่ที่มีการสร้างเพียงไม่กี่ปี ก็จัดว่าเป็นพระใหม่มาแรงพุทธคุณสูงได้รับความนิยมมาก ผู้ที่นำไปบูชาต่างยืนยันถึงประสบการณ์กันมากมาย

บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา : www.pnt19.com

ขอกราบขอบพระคุณ :
หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เจ้าอาวาสวัดตาลกง จ.เพชรบุรี
หลวงพี่แดง พระเลขาวัดตาลกง

ผู้เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูล :
คุณมนตรี แก้วพิจิตร, คุณภาณุ คัดนาหงษ์, คุณทวี เฮงคราวิทย์, คุณหม่อง, ร้านชมพระ
ทีมงานผู้จัดสร้างวัตถุมงคลและทีมงานจัดสร้างหนังสือรวมเล่ม ฉบับ ๑ - ๔ รุ่นสุดท้าย ปี ๒๕๕๐

TOP