บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: ข่าวสดพระเครื่อง | เผยแพร่เมื่อ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
พระกริ่ง ๗ รอบ วัดบวรนิเวศวิหาร ฉลองพระชนมายุ ๗ รอบ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
หนังสือ “ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร” ได้บันทึกไว้ว่า … “พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีเททองหล่อ“ พระกริ่ง ๗ รอบ” หรือ “พระกริ่งพระพุทธชินสีห์” แทนพระองค์ “สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ผู้เป็นสมเด็จพระบรมราชอุปัชฌายาจารย์ เนื่องจากทรงพระประชวร
พระกริ่ง ๗ รอบ และวัตถุมงคลอื่นในชุดนี้ วัดบวรนิเวศวิหารเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำเพ็ญพระกุศล ฉลองพระชนมายุครบ ๗ รอบ พระนักษัตร ๘๔ พรรษาของ “สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” อีกทั้งยังเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ฉลองพระชนมายุครบ ๗ รอบ พระนักษัตร ๘๔ พรรษาของ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
รวมทั้งถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในมหามงคลโอกาสที่ “สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” เสด็จออกทรงผนวช ในวาระนี้ด้วย
หนังสือ “จดหมาย เหตุทรงพระผนวช” มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย จัดพิมพ์ถวายสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชฯ เพื่อประทานในงานฉลองพระชนมายุครบ ๗ รอบ พระนักษัตร ๘๔ พรรษา ในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ และในหนังสือ “ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงครองวัด” ระบุถึงรายละเอียดการจัดสร้างพระกริ่ง ๗ รอบ และวัตถุมงคลอื่นๆ อันประกอบด้วย พระพุทธรูป พระพุทธชินสีห์ ครอบน้ำพระพุทธมนต์ และเหรียญพระพุทธชินสีห์ใบมะขาม
ด้วยการจัดสร้างในครั้งนั้นถือว่ามีจำนวนค่อนข้างมาก (ในสมัยปี พ.ศ. ๒๔๙๙) และเจตนาการจัดสร้างมิได้เป็นการส่วนพระองค์หรือเป็นการภายใน
ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงครองวัด หน้า ๑๐๐ ระบุว่า …
”พิธีหล่อพระ ทำการเริ่มพิธีตั้งแต่เย็นวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนถวายสักการะพระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรฯ ไวยาวัจกร ถวายเทียนชนวนที่สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงจุดมาแล้ว ทรงรับเทียนชนวนนั้นจุดเทียนชัย เวลา ๒๐.๓๖ น. ในพิธีหล่อพระพุทธชินสีห์จำลอง แทนสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งประชวรไม่สามารถเสด็จมาให้พระสงฆ์สวดคาถาจุดเทียนชัย”
มวลสารสำหรับหล่อพระครั้งนี้ประกอบด้วย แผ่นยันต์ลงอักขระและโลหะที่ใช้ผสมสำหรับหล่อพระก็ล้วนแต่เป็นโลหะมงคลทั้งสิ้น อาทิ เศษชิ้นส่วนพระพุทธรูปโบราณที่ชำรุด ทองเหลืองเนื้อแดง ขันลงหิน เงินบริสุทธิ์ และทองคำบริสุทธิ์ ที่นำมารีดเป็นแผ่นเพื่อลงอักขระที่เรียกว่า แผ่นทองคำเปลว
วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ เวลา ๐๗.๓๕ น. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ยังศาลาหน้าพระอุโบสถด้านทิศตะวันตก ไวยาวัจกรวัดทูลเกล้าฯ ถวายแผ่นทองคำเปลว ๘๔ แผ่น ทรงวางแผ่นทองคำเปลวลงในเบ้าเวลา ๐๗.๔๑ น. ทรงถือสายสิญจน์ซึ่งโยงจากเบ้าเททองหล่อพระพุทธชินสีห์จำลองแทนสมเด็จพระสังฆราชฯ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา
ตามที่หนังสือ “ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร” บันทึกไว้อีกว่า “การเสด็จฯ ทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระแทนสมเด็จพระบรมราชอุปัชายาฌาจารย์ครั้งนั้นด้วยพระราชหฤทัยโสมนัส”
พระกริ่ง ๗ รอบที่หล่อนี้มี ๒ แบบ คือ
- ๑. เป็นพระบูชาหน้าตัก ๔ นิ้วครึ่ง และ
- ๒. เป็นพระกริ่งหน้าตัก ๑.๗ เซนติเมตร มีจำนวนการสร้างเพียง ๕๐๐ องค์ เท่านั้น
วัตถุมงคลรุ่นนี้กล่าวได้ว่ามีคุณสมบัติพิเศษถึง ๕ ประการ คือ
- ๑. เป็นพระกริ่งสำคัญรุ่นเดียวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เททอง
- ๒. เป็นพระกริ่งที่สร้างโดยสมเด็จพระสังฆราชรูปที่ ๑๓
- ๓. สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
- ๔. เป็นพระกริ่งที่สร้างร่วมกันระหว่างประมุขแห่งศาสนจักรและประมุขแห่งอาณาจักร
- ๕. เป็นพระกริ่งที่จำลองรูปพระพุทธชินสีห์ พระพุทธรูปสำคัญประจำวัดบวรนิเวศวิหาร
“พระพุทธชินสีห์” แปลตามความหมายว่า พระผู้ชนะพระยาราชสีห์ หรือพระผู้ชนะซึ่งงามสง่าประดุจพระยาราชสีห์ เป็นพระพุทธรูปสำคัญพระองค์หนึ่งของหัวเมืองฝ่ายเหนือ สร้างขึ้นคราวเดียวกับพระพุทธชินราช และพระศาสดา ในปี พ.ศ. ๑๕๐๐ โดยพระเจ้าศรีธรรม ไตรปิฎกมหาราช แห่งเมืองเชียงแสน ประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก
จนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่มุขหลังของพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๒
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ครั้งเมื่อยังทรงผนวชและครองวัดบวรนิเวศวิหารอยู่ ทรงเคารพนับถือพระพุทธ ชินสีห์มาก พระองค์ทรงทูลขอพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เพื่ออัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และโปรดให้กะไหล่รัศมีองค์พระด้วยทองคำ พระเนตรฝังเพชรที่พระอุณาโลม แล้วปิดทองทั้งองค์พระ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๓ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ โปรดให้หล่อฐานด้วยทองสำริด ปิดทองใหม่ทั้งองค์พระและฐาน
กล่าวสำหรับพระกริ่ง ๗ รอบ มีลักษณะองค์พระเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะแบบสุโขทัย มีพุทธลักษณะค่อนข้างอวบอ้วนแบบพระกริ่งจีน ส่วนบัวที่ฐานเป็นบัวเล็บช้างตามแบบอย่างพระกริ่งจีนใหญ่ ด้านหลังองค์พระมีกลีบบัว ๒ คู่ และตรงบัวคู่ล่างมีเลข ๗ ไทย ลึกลงในเนื้อพระ ปรากฏให้เห็น ทำให้พระกริ่ง ๗ รอบ มีเอกลักษณ์เฉพาะ จนกลายเป็นที่มาของชื่อที่ใช้เรียกพระกริ่งรุ่นนี้ ใต้ฐานมีรอยอุดกริ่ง รอยอุดมีขนาดใหญ่กว้างประมาณขนาดแท่งดินสอ
พระกริ่ง ๗ รอบ จำลองแบบมาจากพระพุทธชินสีห์ พระประธานในอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งนายช่างผู้ออกแบบปั้นหุ่นคือ นายช่างมนตรี (มาลี) พัฒนางกรู แห่งพัฒนช่าง
พระกริ่งรุ่นดังกล่าวได้รับความนิยมและแสวงหากันมากในวงการนักสะสมพระเครื่อง แต่ด้วยจำนวนการสร้างน้อย ราคาเช่าบูชาจึงค่อนข้างสูงและหายาก